Why Nostr? What is Njump?
2023-12-30 07:19:53

เจ้ามนุษย์ตัวกระจ้อยร่อย #1

image

ความสัมพันธ์ของแสงและผู้ทะเยอทะยาน

การเดินทางของแสง

ภายใต้กฎแห่งจักรวาล หากจะมีสิ่งไหนที่รวดเร็วที่สุดในการเดินทางข้ามกาลอวกาศ “แสง” นั้นสามารถที่จะเดินทางในสภาวะสุญญากาศได้ด้วยความเร็วเฉลี่ย 299,792,458 เมตรต่อวินาที หรือคิดเป็น 186,282,397 ไมล์ต่อวินาที

ในขณะที่วิวัฒนาการได้นำพามนุษย์อย่างพวกเราให้ถือกำเนิดขึ้นบนโลก พวกเราเพิ่งจะเริ่มต้นเดินด้วยเท้าทั้งสองข้าง ก้าวเล็ก ๆ ของมนุษยชาติที่เริ่มต้นออกสำรวจและหาอาหารเพื่อการเอาชีวิตรอด เท้าทั้งสองข้างได้นำพาเราไปสำรวจยังสถานที่ต่าง ๆ ทุกซอกมุมของโลกเพื่อที่จะค้นหาแหล่งที่อยู่ที่เหมาะสมสำหรับการดำรงชีพและการขยายเผ่าพันธุ์

การก้าวเดินของเราด้วยเท้านั้นสามารถที่จะทำความเร็วได้เฉลี่ยที่ 1.6 เมตรต่อวินาที หากเมื่อเราต้องออกวิ่งเพื่อการล่าเหยื่อ พวกเราก็สามารถที่จะทำความเร็วในการวิ่งได้เฉลี่ยถึง 3.4 เมตรต่อวินาทีและอาจจะรวดเร็วได้มากกว่านั้น เมื่ออะดรีนาลีนที่กำลังพุ่งพล่านจากการหลบหนีจากสิ่งที่เป็นภยันตรายต่อชีวิตของพวกเรานั้นกำลังสูบฉีด

สำหรับร่างกายอันมีขีดจำกัดของมนุษย์ สิ่งนี้ก็เป็นขีดจำกัดของความรวดเร็วที่เพียงพอแล้วสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์

จากความทะเยอทะยานของมนุษย์ ความต้องการในการก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกาย มีใครบางคนกำลังตั้งคำถามด้วยความสงสัย แสงนั้นเป็นสิ่งที่รวดเร็วที่สุดในจักวาล ถ้าหากว่ามนุษย์จะลงแข่งขันกับแสงในเรื่องของความเร็วและระยะทางด้วยร่างกายอันมีขีดจำกัดนี้ พวกเรามีโอกาสที่จะชนะแสงได้หรือไม่?

ถ้าหากว่าเราได้จัดการแข่งกันด้วยเกมแห่งระยะทาง และเพื่อให้ได้ระยะทางเท่ากับที่แสงเดินทางภายใน 1 วินาที พวกเราจะต้องใช้เวลาในการเดินเท้าราว ๆ 5.9 ปี หรือคิดเป็น 1 ใน 12 ของอายุไขโดยเฉลี่ยของมนุษย์ เราแพ้แสงทั้งเรื่องของความเร็วและระยะทางที่ทำได้ตั้งแต่เรายังไม่ได้เริ่มต้นเดินเลยด้วยซ้ำ

แสงและความคิด

เวลาได้ผ่านพ้นไปจากวันสู่คืน เราแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า ที่ ๆ หมู่ดาวมากมายนั้นทอประกายแสงส่องสว่างยังคงมีสิ่งหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นเด่นชัดสุกสว่างในราตรีกาล

ดวงจันทร์ ดาวบริวารของโลกที่อยู่ห่างจากเราออกไปราว ๆ 384,400 กิโลเมตร ดาวเคราะห์ที่ใกล้กับเรามากที่สุดที่มีความเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ ที่จะใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางเพื่อออกไปสำรวจยังสถานที่ใหม่ ๆ ในห้วงอวกาศ สำหรับการตั้งรกรากและขยายอาณานิคมของมนุษย์

ในขณะที่เรากำลังใช้ความคิดเพื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการที่เราจะไปเยือนยังดวงจันทร์ มันก็เป็นเวลาเพียงแค่ 1.28 วินาที ที่มีอนุภาคของแสงอนุภาคหนึ่ง เพิ่งจะพุ่งผ่านเฉียดหัวของเราไป และในตอนนี้ มันไปหยุดอยู่ที่พื้นผิวของดวงจันทร์เป็นที่เรียบรอย

เรายังคงหลับตายืนหยัดอยู่บนพื้นผิวโลก และได้แต่เฝ้าจินตนาการถึงการก้าวเท้าเดินเหยียบย่ำอยู่บนพื้นผิวของดวงจันทร์ เป็นเพียงความคิดของเราเท่านั้น ที่นำพาเราให้ได้เดินทางไปพร้อมกันกับแสง

ผู้เฝ้าสังเกตการณ์

ปัจจุบันหรืออดีต?

ขอบเขตที่มนุษย์รับรู้ในกาลปัจจุบันแท้จริงแล้วคือสิ่งใด หากเมื่อพิจาณาจากสิ่งที่อยู่ไกลแสนไกล เรื่องราวที่เราเพิ่งจะได้รับรู้นั้นอาจเป็นเพียงแค่อดีตของสิ่ง ๆ หนึ่ง เราอาจจะไม่ได้อยู่ในกาลปัจจุบันของกันและกันอย่างนั้นหรือ?

จากคืนหวนกลับสู่วัน หากจะมีผู้ใดที่หาญกล้าเหลือบตาขึ้นมองไปยังดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์ที่สุกสว่างยิ่งกว่าดวงจันทร์ยามราตีกาลนับครึ่งล้านเท่า แสงสว่างที่เขาเผชิญด้วยดวงตาคู่นั้น สิ่งที่เขาได้มองเห็น จะเป็นเพียงแค่อดีตของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อราว ๆ 8 นาทีที่แล้วบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์ที่มอบทั้งแสงสว่างและความอบอุ่นให้กับโลก

เรามักจะคิดว่าสิ่งที่ตามองเห็นนั้นเป็นปัจจุบัน แสงจะต้องมีการตกกระทบลงบนวัตถุ ๆ หนึ่ง ก่อนที่แสงจะนำพาความจริงของวัตถุที่แสงได้ตกกระทบ สะท้อนมันมายังดวงตาคู่นี้ของเรา เราจึงจะสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของวัตถุนั้น ๆ ได้

ในขณะที่คุณกำลังอ่านตัวอักษรเหล่านี้ที่ผมได้เขียน ข้อความเหล่านี้อาจจะเป็นปัจจุบันสำหรับพวกคุณ แต่ผมคงบอกได้เลยว่ามันได้กลายเป็นเพียงอดีตของผมไปนานแล้ว หรือแม้แต่แสงที่กำลังสะท้อนภาพของตัวอักษร และทุก ๆ อนุภาคของแสงที่ได้เก็บข้อมูลจากตัวอักษรมาสู่ดวงตาของคุณ มันจะเป็นเพียงอดีตของเหตุการณ์การปลดปล่อยโฟตอนจากอิเล็กตรอน เหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นก่อนหน้านี้บนสารกึ่งตัวนำประเภทหนึ่ง ที่มันถูกนำมาใช้ผลิตเป็นพาแนลของจอภาพที่ใช้ในการแสดงผล

มนุษย์นั้นมีอัตราการตอบสนองการรับรู้ที่ราว ๆ 0.15 ถึง 0.3 วินาที แต่ถ้าหากว่าต้องมีการตัดสินใจอะไรบางอย่างเกิดขึ้น การตอบสนองการตัดสินใจของพวกเราจะอยู่ที่ราว ๆ 0.3 ถึง 0.8 วินาที เป็นเวลาที่นานพอจะให้แสงเดินทางไปได้ไกลถึง 239,833 กิโลเมตร หรือคิดเป็นการเดินทางรอบโลกได้ราว ๆ 5.9 รอบ และด้วยความเร็วของแสงที่รวดเร็วกว่าการตอบสนองการรับรู้ของมนุษย์ ข้อมูลของแสงที่กำลังมีปฏิสัมพันธ์ต่อมนุษย์ มันจึงทำให้เราไม่รู้สึกว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต

อาจจะกล่าวได้ว่า คำว่าอดีตสำหรับมนุษย์อาจจะเป็นเพียงเรื่องของความรู้สึกมากกว่าการคิดคำนึงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วในระดับของมิลลิวินาที แต่สำหรับความเป็นจริงของจักรวาลที่กำลังดำเนินไปข้างหน้า ทุก ๆ สิ่งที่ได้เกิดขึ้นภายใต้จักรวาลนี้ ก็ล้วนเป็นอดีตเมื่อราว ๆ 0.15 วินาทีที่แล้วสำหรับมนุษย์ผู้มีเวลาอันจำกัดในชั่วชีวิตหนึ่ง

มนุษย์ผู้เฝ้าสังเกตกันและกัน

จากความทะเยอทะยานของมนุษย์ ในตอนนี้พวกเราได้ต่อเรือเพื่อที่จะเดินทางออกไปสำรวจยังสถานที่ใหม่ ๆ ในอีกฝากของทวีป ดินแดนที่พวกเราอาจจะยังไม่เคยรู้จัก เรือได้ถูกปล่อยออกจากอู่ต่อเรือ บัดนี้มันกำลังลอยอยู่เหนือผิวน้ำ กัปตันได้ออกคำสั่งให้เหล่ากะลาสีช่วยกันส่งกำลังฝีพาย พลักดันเรือที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำให้พ้นออกไปจากตัวอ่าว และหลังจากการพายได้ระยะทางที่เหมาะสม กัปตันก็ได้เปลี่ยนคำสั่งให้เหล่ากะลาสีชักใบเรือลงมาเพื่อรับกับแรงลม

จากบนชายฝั่ง ผืนทรายที่ไกลสุดลูกตามีชายคนหนึ่งกำลังยืนเฝ้าดูเหล่ากะลาสีที่กำลังออกฝีพายกันอย่างสุดกำลัง ชายคนนี้มองเห็นเหล่ากะลาสีทั้งหลายที่อยู่บนเรือ กำลังค่อย ๆ เคลื่อนที่ไปข้างหน้าพร้อม ๆ กับตัวเรือที่มีขนาดมหึมา

ในทางกลับกัน การรับรู้ของกะลาสีที่กำลังจดจ่ออยู่กับฝีพาย พวกเขาเพียงแค่นั่งอยู่กับที่บนแผ่นไม้กระดานของตัวเรือ ก้มหน้าก้มตาออกฝีพายอย่างสุดกำลัง และพวกเขาไม่ได้กำลังรู้สึกว่าพวกเขาขยับตัวเคลื่อนที่ไปไหน

หากว่าชายคนที่ยืนอยู่บนชายหาดได้มาพบกับกะลาสีเรือ ถ้าหากว่าเขาทั้งสองได้มีการพูดคุยกันถึงมุมมองของการรับรู้ที่ต่างฝายต่างเป็นผู้ประสบกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาก็คงจะทุ่มเถียงใส่กันและกันว่าฝ่ายในจะเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง ระหว่างผู้เฝ้าดูที่เห็นว่ากะลาสีกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าพร้อมกันกับตัวเรือ และกะลาสีเรือที่ยืนยันว่าเขาเพียงแค่กำลังนั่งอยู่กับที่บนแผ่นไม้กระดานของตัวเรือ และตัวของเขาก็ไม่ได้กำลังขยับเคลื่อนที่ไปที่ไหน

จากมุมมองของผู้สังเกตุการณ์แล้ว เรานั้นไม่อาจจะตัดสินเพียงแค่สิ่งที่เราได้เห็น สิ่งที่อยู่เบื้องหน้านั้นอาจจะไม่ใช่ความเป็นจริงทั้งหมด และเราผู้เฝ้าสังเกตการณ์ก็ไม่อาจจะแทนที่ตัวของเราเองเพื่อเข้าไปในตัวผู้ที่กำลังถูกเราสังเกตอยู่ได้ เราทำได้เพียงแค่รับรู้และคาดเดาจากข้อมูลที่เรามีอยู่เพียงเท่านั้น ความเป็นปัจเจกยังคงเป็นความเป็นปัจเจกเฉพาะตัวบุคคล ตัวรู้ของเราที่ติดตัวเรามาตั้งแต่กำเนิดยังคงเป็นของใครของมัน และมันจะเป็นไปอย่างนั้นตราบนานเท่านาน

การจดบันทึกของจักรวาล

ใครกันที่เป็นผู้บงการให้วัตถุนั้นมีตัวตนอยู่?

หากว่าการเฝ้ามองวัตถุ ๆ หนึ่งด้วยดวงตาของมนุษย์บอกกับเราได้ว่าวัตถุนั้นมีอยู่ ถ้าหากว่าเราได้ลองหลับตาลงเพื่อปิดกั้นการมองเห็นจากแสง การมีอยู่ของวัตถุ ๆ นั้นจะหายไปด้วยหรือไม่?

ในช่วงเวลาที่ศาสตร์ของฟิสิกส์อนุภาคกำลังค้นพบสิ่ง ๆ ใหม่ ๆ ที่พวกเราไม่เคยรู้จักมันมาก่อน พวกเรานั้นเคยทะเลาะถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายว่าแสงนั้นคืออะไรกันแน่ ระหว่างสิ่งที่เป็นอนุภาคที่จับต้องได้ หรือมันเป็นเพียงกลุ่มหมอกคลื่นแห่งความน่าจะเป็นที่กระจายตัวออกไปทุกหนทุกแห่งที่เราไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว พวกมันกำลังอยู่ที่ไหน

ความพิศวงหนึ่งของแสง คือการที่มันประพฤติตัวอยู่ในสองรูปแบบภายในเวลาเดียวกัน หรือจะกล่าวอีกในหนึ่งว่าสิ่งที่มีขนาดที่เล็กมาก ๆ ที่มนุษย์ไม่สามารถจะมองเห็นมันได้ด้วยตาเปล่า สิ่งที่เล็กลงไปในระดับของอะตอม เหล่าอนุภาคต่าง ๆ อย่างอิเล็กตรอนที่รายล้อมอยู่รอบ ๆ พวกมัน ถ้าหากไม่ได้มีการตรวจวัด พวกมันก็จะประพฤติตัวเป็นดั่งกลุ่มหมอกคลื่นแห่งความน่าจะเป็น แต่เมื่อใดที่มีการตรวจวัดหรือทำการสังเกตมัน มันก็จะประพฤติตัวเป็นอนุภาคที่ทำให้พวกเรานั้นรับรู้ว่าตัวของมันกำลังอยู่ที่ไหน

มันเป็นเวลาที่กัปตันเรือได้พักผ่อนอยู่ภายในห้องนอนของเขา กะลาสีเรือที่กำลังเดินเท้าเพื่อไปแจ้งเหตุการณ์กับกัปตันเรือถึงความเรียบร้อยของการเดินทาง กำลังส่งสัยว่ากัปตันเรือของเขากำลังทำอะไรอยู่ภายในห้องนอนของกัปตันเรือ

กะลาสีเรือได้คาดการณ์ถึงความน่าจะเป็นของตัวของกัปตันว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ที่มุมไหนภายในห้องนอนห้องนั้น ตัวของกัปตันอาจจะกำลังนั่งทานอาหารอยู่ที่โต๊ะอาหารภายในห้องนอนของเขา เขาอาจจะกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงนอน หรือเขาอาจจะกำลังแอบจิบเบียร์ที่เขาชื่นชอบพร้อมกับกำลังชมวิวทิวทัศน์ของท้องทะเลอยู่ที่บริเวณริมหน้าต่างของห้องนอน

กะลาสีที่ไม่รู้ความเป็นจริงของกัปตันเรือ เขาทำได้เพียงแค่คาดเดาถึงความน่าจะเป็นของกัปตัน กลุ่มหมอกคลื่นที่ปกคลุมอยู่ในความคิดของเขา และทันทีที่เขาได้เคาะประตูและกล่าวขออนุญาตเพื่อที่จะเปิดประตูเข้าไปเพื่อพบกับกัปตันเรือ ความเป็นจริงได้บอกกับเขาว่าตอนนี้ตัวของกัปตันกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และอ่านหนังสืออยู่ใกล้ ๆ กับขอบหน้าต่างของห้องนอน

การคาดเดาความเป็นจริงของสิ่งที่ยังไม่รับรู้นั้นคือความน่าจะเป็น และทันทีที่กะลาสีเรือได้เปิดประตูเข้าไปในห้องของกัปตัน สิ่งที่เขาได้เห็นจึงเป็นการที่เขาได้รับรู้ความเป็นจริงของกัปตัน เขาจึงไม่จำเป็นจะต้องคาดเดาอะไรอีกต่อไปแล้ว

เช่นเดียวกันกับเรื่องของแสง ในขณะที่แสงไม่ได้กำลังถูกตรวจสอบด้วยการวัด หรือไม่ได้มีผู้ใดที่กำลังสังเกตการณ์มันอยู่ ตัวมันจะประพฤติตัวเหมือนกัปตันเรือที่อยู่ภายในห้องนอนภายใต้ความคิดของกะลาสี ความน่าจะเป็นที่มันจะอยู่ในที่ใดที่หนึ่งสุดแล้วแต่ตัวของมันจะปรารถนา และทันทีที่มีใครบางคนกำลังเฝ้าสังเกตมัน ก็เหมือนกับกะลาสีที่ได้เปิดประตูห้องนอนของกัปตัน เขาที่รับรู้ความเป็นจริงว่ากัปตันของเขานั้นอยู่มุมไหนของห้องนอน แสงที่ถูกตรวจวัดและสังเกตการณ์จึงถูกรับรู้ว่าตัวของมันนั้นอยู่ที่ไหน

สิ่งที่เล็กลงไปในระดับของอะตอม กลุ่มหมอกอิเล็กตรอนถ้าหากไม่ได้มีการเฝ้าสังเกตการณ์ก็จะไม่มีใครที่จะรู้ว่าตัวของมันกำลังอยู่ที่ไหน แล้วถ้าเป็นสิ่งที่ใหญ่กว่าอะตอมเฉกเช่นกับมนุษย์ มนุษย์อย่างเรา ๆ จะสามารถประพฤติตัวเหมือนกับกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนที่สามารถดำรงอยู่ได้ในหลาย ๆ สถานที่พร้อม ๆ กันเมื่อไม่มีใครกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ตัวเราอยู่ได้หรือไม่

มันคงจะเป็นไปได้ก็เพียงแต่ในความนึกคิดของผู้ที่ไม่ได้กำลังรับรู้กับความเป็นจริงของบุคคลนั้น ๆ เมื่อเขาทำได้เพียงแค่คาดเดาถึงความน่าจะเป็นไปต่าง ๆ นา ๆ เท่าที่สมองจะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเขาคนนั้น แต่มันคงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์จะหลบหนีไปจากการเฝ้ามองของจักรวาล จักรวาลนั้นยังคงบันทึกทุก ๆ เหตุการณ์ที่มนุษย์ได้กระทำ มนุษย์อย่างเรา ๆ ไม่สามารถที่จะประพฤติตัวเป็นดังกลุ่มหมอกคลื่นแห่งความน่าจะเป็น พวกเราไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ได้ในหลาย ๆ สถานที่พร้อม ๆ กัน ถ้าหากมนุษย์ต้องการจะทำให้ได้แบบนั้น พวกเราก็คงจะต้องหาวิธีซ้อนเร้นอำพรางตัวให้พ้นไปจากสายตาที่เฝ้ามองมาของจักรวาล

เรารับรู้ถึงสิ่งที่มีอยู่ก็ต่อเมื่อเราได้ทำการสังเกต และเมื่อใดที่เราละทิ้งการสังเกตไป สิ่ง ๆ นั้นก็อันตรธานหายไปจากการรับรู้ของเรา

ความเป็นจริงของวัตถุนั้นจะยังคงมีอยู่ ถึงแม้ว่าเราจะหลับตาลงเพื่อปิดกันการรับรู้จากการมองเห็น เพราะว่าผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าเราก็กำลังเฝ้ามองลงมาและจดบันทึกทุก ๆ เรื่องราวของพวกมัน ทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างจะยังคงดำเนินต่อไป โดยที่ไม่ได้ใส่ใจความคิดเห็นของเหล่ามนุษย์ตัวกระจ้อยร่อย เหล่ามนุษย์ที่เล็กเสียยิ่งกว่าอะตอมเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของจักรวาล ๆ นี้


image

Author Public Key
npub1p0glyrz85nu86gevlhrsg9t3pg5uhrhq3sgwjmy8mzq0k09m30pq2jv9kv