Why Nostr? What is Njump?
2023-10-23 10:13:39

Know your worth

จงตระหนักรู้คุณค่าของตัวเอง เพชรไม่ได้เปล่งประกายเจิสจรัสจากสุดปลายถ้ำ

image

2023’s Wake up call

แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมตัดสินใจเอาเรื่องนี้มาเล่าบน #ทุ่งม่วง เกิดจากเมื่อต้นปี 2023 ผมได้รับสัญญาณเตือนภัยจากที่ทำงานแห่งหนึ่ง (Wake up call) ปลุกให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ตระหนักรู้ถึงความเป็นจริงบางอย่าง ว่างาน part time ที่กำลังทำเริ่มมีสัญญาณความไม่มั่นคงเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย มีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกขอให้งดคลินิคไม่ต้องมาออกตรวจ (ภาษาสุภาพของการเลิกจ้างหมอ)

สำหรับหมอที่ทำงานหลายโรงพยาบาล จะเข้าใจสถานะ”หมอ part time” ของตนเองดีว่า สามารถถูกถอดเวรออกได้ทุกเมื่อ หากทางโรงพยาบาลมีความจำเป็น

เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ ผมติดต่อโรงพยาบาลใกล้บ้านเป็นแผนสำรองเอาไว้ ที่นี่ขาดอัตรากำลังแพทย์พอดี ผมเลยสามารถเริ่มงานได้ทันที ทำให้รายได้ไม่กระทบกระเทือนต่อครอบครัว แต่สิ่งที่ต้องพบเจอก็คือโรงพยาบาลแห่งใหม่นี้ งานหนักมาก หนักถึงขั้นกระอักเลือด เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ยังไม่มีระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ผมทำงานที่นี่ไประยะนึง เมื่อมาดูสลิปค่าตอบแทน พบว่าผมถูกจัดกลุ่มให้อยู่ในกลุ่มแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป (General practitioner หรือ GP คือหมอทั่วไปที่ยังไม่ได้เรียนต่อเฉพาะทาง)

แพทย์เฉพาะทาง ตามกลไกจะได้ค่าตอบแทนสูงกว่าแพทย์ GP ถึง 70 - 80%

ผมนำเรื่องนี้ขึ้นปรึกษาหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับการดำเนินแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพราะความเข้าใจผิด และผมก็ได้ค่าตอบแทนสมน้ำสมเนื้อตามมาทีหลัง แต่ด้วยเนื้องานที่หนักมาก เหนื่อยมาก เลิกงานเที่ยงคืน วันอื่นๆทำงานอีก ทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ ร่างกายเริ่มส่งสัญญาณเตือนบางอย่างว่ากำลัง overheat เครื่องกำลังจะไหม้ในอีกไม่ช้า ถ้ายังคงลากเลือดขนาดนี้ แต่เวลานั้นผมทำเพื่อครอบครัวอย่างเดียว เลยไม่ได้ลังเล เดินหน้าต่อ

จุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงนี้ครับ ผมมีอาจารย์แพทย์ที่เคารพมากท่านหนึ่ง อาจารย์เขารับรู้เรื่องผมมาตลอด เมื่อทราบว่าผมทำงานหักโหม แลกกับความเสี่ยงหลายมิติ จึงมีโอกาสได้นั่งคุยกัน อาจารย์ท่านนี้เล่าเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งให้ฟัง และทิ้งท้ายเอาไว้ให้คิดว่า

ทรัพยากรที่มีค่าที่สุดคือเวลา จงเอาตัวผมไปอยู่ในที่ที่เห็นคุณค่าในตัวผมให้ได้ ถ้าผมทำได้ เวลาของผมมีจะสร้างมูลค่าได้มหาศาลกว่านี้

การสนทนาจบลงด้วยความรู้สึกพบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ผมตัดสินใจ ของดคลินิคจากโรงพยาบาลแห่งนั้นทันที และเป็นความโชคดี เพราะที่ทำงานประจำกำลังขาดแคลนหมอ ผมเลยได้ตารางออกตรวจเพิ่ม รายได้มั่นคงมากกว่าเดิม

ส่วนโรงพยาบาลที่กระตุ้น wake up call ผมตอนแรก เล็งเห็นความสำคัญของทักษะเฉพาะทางของผมที่ขาดไม่ได้และจำเป็นมากต่อสถานการณ์ปัจจุบัน จึงขอให้ผมอยู่ช่วยต่อและเพิ่มค่าตอบแทนเพิ่มจากเดิมอีกเกือบ 100%

image


ทักษะการเขียนบทความ ที่เกือบจะถูกปิดผนึกไปตลอดกาล เพราะเอาตัวเองไปอยู่ไม่ถูกที่

image สิ่งที่ผมสนใจอยู่เป็นทุนเดิมคือการเล่าเรื่องแฝงแง่คิดจากประสบการณ์ของตัวเองให้กับผู้อื่นฟัง ตัวผมเองเป็นคนพูดไม่เก่ง บุคคลิกเก็บตัว Introvert ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับความคิดตัวเอง แล้วจดบันทึกข้อคิดที่คิดได้เอาไว้ ตั้งใจว่าถ้ามีเวลาพอ จะเอาสิ่งที่รีดออกมาจากสมอง มาขยายทำเป็นบทความ เพื่อเอาไว้ให้คนอื่นอ่าน เผื่อว่ามันจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย ผมตระเวนหาเวบไซต์สำหรับนักเขียนไปเรื่อย แต่ก็หาที่ที่ถูกใจไม่ได้ ผมก็เลย”จำใจ” เขียนลงไปในเฟสบุค และ แพลตฟอร์มนักเขียนแห่งหนึ่งของประเทศไทย

ในช่วงแรกผมลองเขียนบทความลงเฟสบุค ผลลัพธ์เป็นไปตามคาดครับว่าไม่เป็นที่สนใจ ประเมินผลหยาบๆจากยอดกดไลค์ คอมเม้นท์ และการแชร์ เงียบเหมือนป่าช้าเลย นานๆจะมีคนมากดไลค์ซักที แต่ก็เป็นที่รู้ๆกันครับว่าการกดไลค์ มันอาจจะเกิดจากคนอื่นเปิดมาเจอโพสต์ของผม แล้วจะปัดให้มันพ้นๆไป “ไอ้บ้านี่มันบ่นอะไรของมัน” แต่นิ้วโป้งดันไปจิ้มโดนปุ่มไลค์พอดี ในเมื่อจิ้มไปโดนแล้วก็แล้วกันไปก็เป็นไปได้

เวลาผ่านไปมันเหมือนผมขึ้นไปพูดบนเวทีที่ไม่มีผู้ฟัง หรือ ผู้ฟังหลับทั้งห้อง บทความต่างๆข้อคิดต่างๆที่ผมตั้งใจเรียบเรียงมันส่งไปไม่ถึงผู้คน มันดูไร้ค่า จบด้วยการนั่งคุยกับตัวเองเหมือนเป็นคนไข้จิตเวช เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกือบนำพาผมไปสู่ข้อสรุปที่ว่า “ผมเองคงเขียนไม่เก่ง” หรือ “เขียนไม่ได้แย่หรอก แต่ไม่ได้โปรโมท เลยไม่มีใครมาพบเจอ” หรือไม่ก็ถูกทั้งสองข้อ บางครั้งอยากจะล้มเลิกการเขียนไปเลยก็มีครับ

ช่วงมกราคมปี 2023 เวบไซต์ Right shift เริ่มเป็นที่รู้จัก ฟังคอนเซปจากอาจารย์พิริยะแล้วชอบมาก

เวบไซต์ Right shift ตั้งใจเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจอยากศึกษาบิตคอยน์ ให้สามารถเข้ามาศึกษาได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แถมยังเชิญชวนให้ผู้ที่อยากเขียนบทความที่เป็นประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ใครสนใจสามารถส่งบทความเข้ามาได้ ถ้าหากบทความไหนมีแวว จะมีทีมบก.ติดต่อกลับไปเพื่อทำงานร่วมกันในการขัดเกล้า แก้ไขสำนวนบางจุดให้ดียิ่งขึ้น

พอรู้มาถึงตอนนี้มันนเหมือนมีอะไรมาเคาะกะโหลกดังๆ จนความรู้สึก “ปังปุริเย่ เฮ้ ร้องว้าว” มันผุดขึ้นมา แต่มันก็มาพร้อมกับความไม่มั่นใจในตัวเองนั่นแหละครับ ความขัดแย้งเต็มไปหมดว่า “จะเขียนหรือไม่เขียนดี” “เอาจริงอ่ะ? จะเขียนบทความส่งไปจริงๆเหรอ?” “ม_ึง ไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพนะ คนที่เขาส่งบทความไปมีแต่เทพๆทั้งนั้น จะเอาอะไรไปสู้กับเขา” และเสียงอื่นๆในหัวอีกมากมาย

แต่สุดท้ายผมทลาย “Comfort zone” ได้ ด้วยกำลังใจเล็กๆน้อยๆจากภรรยาครับ ภรรยาผมบอกด้วยคำสั้นๆว่า “ก็ลองดูสิ สกิลการเขียนเล่าเรื่องของเธอก็ไม่ขี้เหร่นะ” ผมเลยลองทำดู และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น

image

บอกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้ถูกฝึกการเขียนบทความโดย "ใครก็ไม่รู้” ผมรู้แค่ว่าเป็นทีมบก.ของ Right shift เมื่อทำงานร่วมกันไปเรื่อยๆ ทีมบก.ทุ่มเทในการช่วยแก้ไขช่วยตรวจสอบบทความของผมมากๆ จนผมสังเกตุเห็นได้

ใครเคยใช้ Google document ร่วมแก้ไขบทความด้วยกันมากกว่าหนึ่งคนคงจะรู้ดีนะครับว่า เวลาที่มีการแก้ไขข้อความมันจะมีเมล์แจ้งเตือนไปหาทุกคนที่เข้ามาร่วมแก้ไขเอกสารทั้งหมด บางคืนที่ผมนอนหลับไม่สนิท ตีสองตีสามตื่นมาเข้าห้องน้ำ ผมยังเห็นเมล์อัพเดทการแก้ไขบทความจากทีมงาน right shift เด้งๆอยู่เลย

จนสุดท้ายงานเขียนผมก็ได้รับการเผยแพร่บนเวบไซต์ Right shift

image

ใครยังไม่เคยอ่านกดตรงนี้ได้เลยครับ

หลังจากนั้นผมรับรู้ถึงทักษะนี้มากขึ้น เลยตั้งใจว่าต้องฝึกให้เก่งขึ้นดีขึ้นในทุกๆบทความที่ผมเขียน ผมอ่านหนังสือเยอะขึ้น ศึกษาสำนวนการเขียนจากนักเขียนรวมถึงนักแปลท่านอื่นๆ เพื่อดูตัวอย่างสำนวน ลีลาสไตล์การใช้คำ เอามาประยุกต์ใช้กับงานเขียนของตัวเอง

ไม่รู้ตัวหรอกครับ ว่าทักษะนี้มันโดนฝึก โดนขัดเกลาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้ตระหนักรู้ถึงการที่มันมีตัวตนอยู่ภายในตัวผมแล้ว ผมก็จะลับคมมันไปเรื่อยๆ หลายครั้งตอนที่ผมเขียนบทความอยู่ผมลืมเวลา ลืมหิว ลืมง่วง ลืมเหนื่อยไปเลย ถ้าเปรียบเทียบกับนักกีฬา คาดว่าสภาวะตอนนั้นคงเป็นสภาวะหนึ่งของการเข้าสมาธิแบบ “Into the zone”


เรื่องสั้นที่อาจารย์ของผมเล่าให้ฟัง มอบบทเรียนชีวิตที่มีค่า อยู่ต่อจากนี้ครับ


image

พ่อคุยกับลูกสาว “ยินดีด้วยที่จบการศึกษา พ่อซื้อรถคันนี้ไว้ให้ลูกซักพักแล้ว ตอนนี้พ่อจะให้ลูกนะ แต่ก่อนที่พ่อจะให้ พ่ออยากให้ลูกนำไปที่ร้านรับซื้อ-ขายรถในตัวเมือง แล้วมาบอกพ่อด้วยว่าเขาให้ราคาเท่าไหร่”

ลูกสาวทำตาม กลับมาหาพ่อ บอกว่า “ร้านนี้เขาให้ราคา $10,000 เพราะรถเก่า” พ่อบอกลูกว่า “โอเคลูก ทีนี้พ่ออยากให้หนูเอารถไปที่โรงรับจำนำ ลองดูซิว่าเขาจะตีราคารถคันนี้เท่าไหร่”

ลูกสาวทำตาม แล้วกลับมาบอกพ่อว่า “โรงรับจำนำให้ราคา $1,000 เพราะรถเก่ามาก ดูแล้วต้องซ่อมอีกหลายรายการ ”

ครั้งนี้พ่อบอกลูกสาวให้นำรถนี้ไปยังชมรมคนรักรถที่มีผู้เชี่ยวชาญ และนำรถให้พวกเขาดู

ลูกสาวทำตาม ขับรถนี้ไปที่ชมรมที่ว่า หลังจากนั้นไม่นานลูกสาวกลับมาบอกพ่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “บางคนเสนอราคา $100,000 เพราะเป็นรถหายาก และสภาพดีมาก”

image

ผู้เป็นพ่อยิ้มให้กับลูกสาว เหมือนว่ารู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ด้วยความสงสัยลูกสาวจึงถามพ่อว่า

“ในเมื่อพ่อรู้อยู่แล้วว่าร้านไหนจะให้ราคาสูง ทำไมพ่อไม่ให้หนูไปที่ชมรมคนรักรถตั้งแต่แรกล่ะ”

พ่อบอกลูกสาวว่า “นี่แหละบทเรียนชีวิตที่สำคัญบทหนึ่งที่พ่ออยากมอบให้แก่ลูก พ่ออยากให้ลูกรู้ไว้ว่า ลูกจะไม่มีค่าใดๆเลยถ้าอยู่ผิดที่ ที่ที่คนอื่นมองไม่เห็นเรา ไม่ต้องเสียเวลาไปโกรธโมโหไม่พอใจหรอกนะ สิ่งที่ลูกต้องทำก็คือเดินออกจากที่นั่น ออกไปจากสังคมและสถานที่ที่ไม่เห็นค่าในตัวลูก ค้นหาที่สถานที่ของลูกให้เจอ ถ้าลูกไม่ลองลงมือทำด้วยตัวเอง ลูกก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย”

image


ข้อคิดที่อยากจะแบ่งปันกับทุกท่านที่อ่านมาจนจบ

บทความนี้มีความพิเศษกว่าบทความอื่นๆ ท้ายบทความของผมผมจะมาชวนคุยและสรุปข้อคิดที่เป็นประโยชน์ให้แก่เพื่อนๆพี่ๆทุกท่านที่อ่านมาจนจบ แต่สำหรับบทความนี้ข้อคิดที่ผมอยากให้ ถูกสรุปขมวดไว้ทั้งหมดแล้วในประโยคที่พ่อบอกลูกสาว

อย่าลืมต่อสู้ ฝ่าฟันอุปสรรค ค้นหาสถานที่ของตัวเราเองให้พบนะครับ เมื่อค้นพบทักษะในตัวแล้ว อย่าให้ถูกปิดผนึกไว้ เพียงเพราะอยู่ผิดที่ ลงมือฝึกฝนพัฒนามันไปเรื่อยๆ เราจะดีขึ้นในทุกๆวันครับ

Author Public Key
npub139r6j3fhhhxjucksksxm2a3kan3sx3dq7c7gq66npf03lxlu7cnqq9d68j