Why Nostr? What is Njump?
2023-11-14 07:03:57

RightShiftCuration on Nostr: ## บทความ #FuckIMF ฉบับสมบูรณ์ครบ 18 ...

## บทความ #FuckIMF ฉบับสมบูรณ์ครบ 18 ตอน
>- มาถึงทุ่งม่วง #siamstr แล้ว!
>- พร้อมกิจกรรมแจกของรางวัลโคตรพรีเมียม!!


➡️อ่านตอน 18 (อวสาน) ได้ที่
https://w3.do/DiAjzBi3
#Habla https://w3.do/CDkPzU36

⏩อ่านแบบเต็มอิ่ม Complete Series ได้ที่
https://w3.do/WniO_WHr

## กิจกรรมลุ้นรางวัล
1. แค่โน้ตว่าชื่นชอบบทความนี้ตอนไหน (หรือเนื้อหาไหน) เพราะอะไร พร้อมติดแท็ก #FuckIMF #siamstr ในโน้ตนั้น
2. ทุกโน้ตที่ร่วมกิจกรรมมีลุ้นรับของรางวัล
3. ร่วมกิจกรรมได้ถึง 30 พ.ย. 66
4. คัดเลือกและประกาศผู้ได้รางวัลในงานมีตอัพ #East101 วันที่ 2 ธ.ค. 66

## ของรางวัล
ตอนแรกจะแจกรางวัลเดียว แต่ตอนนี้ใจดี ขอแยกแจกไปเลย 4 รางวัลสุดพรีเมียมจากชาว วิธีเลือกผู้ชนะเดี๋ยวคุยกับประธานซุปอีกที 5555 แต่มาร่วมสนุกกันเถอะ อยากแจกจริง ๆ

🏆รางวัลที่ 1 : หนังสือนิยายภาพ 1984 ของ


🥈รางวัลที่ 2 : หนังสือปรัชญาในนิทานเต๋า ของ


🥉รางวัลที่ 3 : หนังสือเศรษฐศาสตร์การเมืองฉบับการ์ตูน ของ


🏅รางวัลพิเศษ : ชุดดินสอ Study Bitcoin ของ
## Which one?
- Reward for those who won #FuckIMF next round.
- Choose one
- Are you ready, guys?
#siamstr





18. แสงแห่งความหวัง

"ปัญหาพื้นฐานของระบบสกุลเงินปกติ อยู่ที่การยังจำเป็นต้องใช้ความเชื่อใจเพื่อให้มันทำงานได้ โดยธนาคารกลางนั้นจำเป็นต้องได้รับความเชื่อใจว่าจะไม่ทำเงินให้เสื่อมค่า แต่ในประวัติศาสตร์ของสกุลเงินเฟียตกลับเต็มไปด้วยการละเมิดความเชื่อใจนั้น”

–ซาโตชิ นากาโมโตะ


ไม่ว่าคำตอบของความยากจนในประเทศโลกที่สามจะเป็นอะไรก็ตาม เราก็แน่ใจว่ามันต้องไม่ใช่การก่อหนี้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน “คนจนบนโลกนี้นั้น” คุณ Payer ได้สรุปไว้ว่า “ไม่ได้ต้องการธนาคารแบบธนาคารโลกเพิ่มขึ้นมาอีก ไม่ว่าธนาคารนั้นจะจิตใจดีมีเมตตาแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่คนจนต้องการคืองานที่จ่ายค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม รัฐบาลที่มีความรับผิดชอบ การมอบสิทธิมนุษยชนคืนให้พวกเขา และความเป็นเอกเทศในการบริหารประเทศโดยไม่ถูกต่างชาติแทรกแซง”

แต่เป็นเวลากว่า 7 ทศวรรษแล้วที่ธนาคารโลกและกองทุน IMF กลับตั้งตัวเป็นศัตรูกับทั้ง 4 สิ่งนี้

เมื่อมองไปในอนาคตข้างหน้านั้น คุณ Payer กล่าวว่า “ภารกิจที่สำคัญที่สุดสำหรับเหล่าประเทศร่ำรวยที่กังวลเรื่องความเป็นปึกแผ่นระหว่างประเทศอื่น ๆ คือการเดินหน้าอย่างจริงจังในการระงับการไหลของเงินให้ความช่วยเหลือไปสู่ต่างประเทศ” แต่ปัญหาคือระบบในปัจจุบันถูกออกแบบและสร้างแรงจูงใจให้การไหลของเงินแบบนี้ยังมีต่อไปได้ ทางเดียวที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้คือการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ทั้งหมด โดยเรารู้กันอยู่แล้วว่าบิตคอยน์สามารถช่วยให้ประชาชนทั่วไปในประเทศกำลังพัฒนานั้นได้รับอิสรภาพทางการเงิน ช่วยให้พวกเขาหนีออกจากระบบเงินซึ่งล่มสลาย แต่ถูกผู้นำฉ้อฉลและสถาบันการเงินระหว่างประเทศบังคับให้พวกเขาต้องใช้ ประเด็นเหล่านี้ถูกเร่งความเร็วขึ้นในการประชุมที่เมืองอักกราเมื่อปลายปี 2022 ที่ผ่านมา

บิตคอยน์เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับระบบเดิมที่ถูกออกแบบโดยธนาคารโลกและกองทุน IMF แต่ทว่าบิตคอยน์จะสามารถเปลี่ยนพลวัตในโครงสร้างอำนาจและโครงสร้างทรัพยากรของโลกระหว่างประเทศแกนกลางและประเทศชายขอบได้จริงหรือ?

คุณ Nabourema นั้นเต็มไปด้วยความหวัง และไม่เข้าใจว่าทำไมฝ่ายซ้ายโดยทั่วไปมักประณามหรือไม่สนใจบิตคอยน์

“เครื่องมือที่สามารถทำให้ผู้คนสร้างและเข้าถึงความมั่งคั่งได้อย่างเป็นอิสระจากองค์กรที่มีอำนาจควบคุมนั้น สามารถที่จะมองว่ามันเป็นเครื่องมือของฝ่ายซ้ายได้เลยด้วยซ้ำ” เธอกล่าว “ในฐานะนักเคลื่อนไหวที่เชื่อว่าประชาชนควรได้รับเงินสกุลที่ให้ค่าต่อชีวิตและการเสียสละของพวกเขาแล้ว"

"บิตคอยน์คือเป็นการปฏิวัติของประชาชน”

image

“ฉันว่ามันเจ็บปวด” เธอกล่าว” ที่ชาวไร่ในเขตแอฟริกาบริเวณพื้นที่ใต้ทะเลทรายสะฮาราได้รับเงินแค่ร้อยละ 1 ของราคากาแฟในตลาดโลก ถ้าเราสามารถไปถึงขั้นที่ชาวไร่เหล่านั้นสามารถขายกาแฟของพวกเขาได้โดยตรงถึงผู้ซื้อ โดยไม่ต้องมีสถาบันตัวกลางใด ๆ มาแทรกแซง พร้อมทั้งรับเงินค่ากาแฟเป็นบิตคอยน์ คุณลองนึกดูสิว่ามันจะทำให้ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไปมากแค่ไหน”

“ทุกวันนี้” เธอกล่าว “เหล่าประเทศกำลังพัฒนาอย่างพวกเรายังต้องกู้เงินในสกุลดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อเวลาผ่านไปค่าเงินของเราเสื่อมค่าลงเรื่อย ๆ และต้องลงเอยด้วยการต้องหาเงินมาจ่ายเพิ่มขึ้นมากกว่า 2-3 เท่าของหนี้ในตอนแรก”

“ที่นี้คุณลองนึกภาพ” เธอกล่าว “ถ้าเราไปถึงขั้นที่ในอีก 10-20 ปีข้างหน้าที่บิตคอยน์เป็นสกุลเงินหลักของโลกและถูกใช้ในธุรกิจทั่วโลก ชาติต่าง ๆ ต้องกู้ยืมเป็นสกุลบิตคอยน์และใช้จ่ายในสกุลบิตคอยน์ ทุกชาติต้องจ่ายหนี้ของพวกเขาคืนในสกุลบิตคอยน์ ในโลกแบบนั้นรัฐบาลต่างชาติจะไม่สามารถเรียกร้องให้เราใช้คืนหนี้ในสกุลเงินของพวกเขา ซึ่งเป็นสกุลที่พวกเราต้องทำงานหนักเพื่อหามา แต่พวกเขาสามารถพิมพ์เพิ่มจากอากาศได้ง่าย ๆ และหากพวกเขาอยากที่จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในประเทศตัวเอง มันก็ไม่ได้จะทำให้ชีวิตผู้คนนับล้าน ๆ ในประเทศของเราต้องตกอยู่ในอันตรายในทันทีเหมือนแต่ก่อน”

“มันแน่นอนว่า” คุณ Nabourema กล่าว “บิตคอยน์จะมาพร้อมปัญหาเหมือนนวัตกรรมอื่น ๆ ในอดีต แต่ความสวยงามของมันคือปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขและพัฒนาขึ้นไปได้ด้วยความร่วมมือระดับนานาชาติอย่างสันติ ย้อนดูเมื่อ 20 ปีก่อน ไม่มีใครรู้หรอกว่าอินเทอร์เน็ตจะสามารถทำให้เราทำสิ่งมหัศจรรย์ที่เราทำอยู่ในทุกวันนี้ได้ และคงไม่มีใครบอกได้หรอกว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า บิตคอยน์จะช่วยให้เราทำสิ่งมหัศจรรย์อะไรได้อีกบ้าง

“หนทางข้างหน้าต่อจากนี้” เธอกล่าว “คือการตื่นรู้ของมวลชน พวกเขาจะเข้าใจว่าระบบการเงินในปัจจุบันทำงานอย่างไรได้แบบทะลุปรุโปร่ง และพวกเขาจะเข้าใจว่ามันมีทางเลือกอื่นอยู่ เราต้องไปอยู่ในจุดที่ผู้คนสามารถทวงคืนเสรีภาพให้ตัวเองได้ โดยที่ชีวิตของพวกเขาไม่ได้ถูกควบคุมโดยอำนาจรัฐที่สามารถยึดอิสรภาพของพวกเขาไปตอนไหนก็ได้โดยไม่ต้องรับผลกระทบใด ๆ ที่ตามมา พวกเรากำลังค่อย ๆ ไปถึงเป้าหมายนั้นด้วยบิตคอยน์”

image

“เนื่องจากเงินคือศูนย์กลางของทุกอย่างในโลกของเรา” คุณ Nabourema กล่าว “ความจริงที่ว่า ณ ตอนนี้เราสามารถมีอิสรภาพทางการเงินได้ถือเป็นสิ่งสำคัญต่อประชาชน และพวกเราก็กำลังพยายามทวงคืนสิทธิของเราเองในทุก ๆ พื้นที่และทุก ๆ อุตสาหกรรม”

ในการสัมภาษณ์สำหรับบทความนี้ ผู้สนับสนุนนโยบายเงินฝืด (Deflation) อย่างคุณ Jeff Booth ได้อธิบายว่าในขณะที่โลกยิ่งเดินเข้าสู่ระบบมาตรฐานบิตคอยน์ ธนาคารโลกและกองทุน IMF จะยิ่งไม่อยากเป็นเจ้าหนี้ และน่าจะอยากไปเป็นผู้ลงทุนร่วม เป็นหุ้นส่วน หรืออาจเป็นแค่ผู้จัดตั้งกองทรัสต์มากกว่า เนื่องจากในขณะที่ราคาของสิ่งต่าง ๆ เริ่มปรับตัวลง มันหมายถึงหนี้สินจะมีมูลค่าที่มากขึ้น และจะเป็นเรื่องยากขึ้นสำหรับลูกหนี้ที่จะหาเงินมาจ่ายคืนได้ และเมื่อเครื่องพิมพ์เงินของสหรัฐอเมริกาถูกปิดไป ก็จะไม่มีเงินให้กู้เพื่อมาช่วยเหลืออีก และเขายังชี้ว่าในช่วงแรกนั้นธนาคารโลกและกองทุน IMF จะยังพยายามที่จะปล่อยกู้เหมือนเดิม แต่มันจะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะสูญเงินก้อนใหญ่นั้นไปจริง ๆ เพราะประเทศต่าง ๆ จะเริ่มผิดนัดชำระหนี้กันมากขึ้นในระหว่างที่โลกกำลังขยับเข้าสู่ระบบมาตรฐานบิตคอยน์

ดังนั้นพวกเขาอาจจะเริ่มพิจารณาการเป็นผู้ลงทุนร่วมมากกว่าจะเป็นผู้ปล่อยกู้ แปลว่าพวกเขาจะต้องสนใจความยั่งยืนและความสำเร็จที่แท้จริงของโครงการที่พวกเขาสนับสนุนมากขึ้น เนื่องจากพวกเขาต้องรับความเสี่ยงในการลงทุนนั้น

การขุดบิตคอยน์เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้

ถ้าชาติที่ยากจนสามารถเปลี่ยนทรัพยากรธรรมชาติของพวกเขาเป็นเงินได้ โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเหล่าผู้มีอำนาจจากต่างประเทศ บางทีอธิปไตยของพวกเขาอาจจะแข็งแกร่งขึ้น แทนที่จะถูกบ่อนทำลายลงเหมือนแต่ก่อน การขุดบิตคอยน์นั้นใช้ได้ทั้งพลังงานจากแม่น้ำ เชื้อเพลิงไฮโดรคาร์บอน แสงอาทิตย์ ลม ความร้อนใต้พิภพ หรือแม้แต่พลังงานจากความแตกต่างของอุณหภูมิน้ำทะเลนอกชายฝั่ง (OTEC) ที่มีอยู่มากมายในเขตตลาดเกิดใหม่ พลังงานเหล่านี้สามารถถูกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินสำรองของโลกได้โดยตรง โดยไม่ต้องขออนุญาตใคร เรื่องนี้ไม่เคยเป็นไปได้มาก่อน ซึ่งสำหรับเหล่าประเทศที่ยากจนแล้วกับดักหนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่หนีออกมาไม่ได้ แถมมันยังขยายขนาดขึ้นทุกปี

บางทีการลงทุนเพื่อเก็บออมบิตคอยน์เป็นเงินสำรอง และเพื่อใช้งานโครงสร้างพื้นฐานของบิตคอยน์ (ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วมันเป็นสิ่งที่ต่อต้านระบบเงินเฟียต) น่าจะเป็นทางออกและเป็นเส้นทางสู่การเอาคืนระบบเดิมที่กดขี่พวกเขามายาวนาน

image

คุณ Booth กล่าวว่าบิตคอยน์สามารถทำให้ระบบเก่าที่เอื้อประโยชน์แก่ประเทศร่ำรวยด้วยการปล้นค่าแรงของประเทศยากจนนั้นเกิดอาการลัดวงจรจนพังได้ เพราะในระบบเก่า กลุ่มประเทศชายขอบต้องถูกสังเวยเพื่อปกป้องประเทศแกนกลาง แต่ในระบบใหม่ ประเทศชายขอบและประเทศแกนกลางจะสามารถทำงานร่วมกันได้ เขากล่าวว่า ณ ตอนนี้ระบบเงินดอลลาร์สหรัฐกดคนให้จนลงด้วยการกดค่าแรงในประเทศชายขอบ แต่เมื่อเงินถูกปรับให้มีความเท่าเทียมด้วยระบบที่เป็นมาตรฐานและเป็นกลาง พลวัตใหม่จะถูกสร้างขึ้น การที่มีมาตรฐานทางการเงินเพียงหนึ่งเดียวจะส่งผลให้อัตราค่าแรงถูกดึงมาให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ แทนที่มันจะถูกทำให้ห่างออกจากกันแบบที่แล้วมา คุณ Booth ยังกล่าวอีกว่าเราไม่มีคำที่ใช้เรียกสำหรับพลวัตนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเขาแนะนำให้ใช้คำว่า “ความร่วมมือเชิงบังคับ”

คุณ Booth อธิบายถึงความสามารถของสหรัฐฯ ในการสร้างหนี้จำนวนเท่าไรก็ได้ตามต้องการว่าเป็น “การโจรกรรมในระดับฐานเงิน” คุณผู้อ่านคงอาจจะคุ้นเคยกับปรากฏการณ์แคนทิลอน (Cantillon Effect) ที่ผู้อยู่ใกล้แหล่งการผลิตเงินนั้นจะได้ประโยชน์จากเงินผลิตใหม่ ในขณะคนที่อยู่ห่างออกไปนั้นต้องทนทุกข์ใช่ไหมครับ ปรากฏการณ์แคนทิลอนในระดับโลกนั้นคือการที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประโยชน์จากการพิมพ์เงินสกุลสำรองของโลก ในขณะที่ประเทศยากจนต้องทนทุกข์กันทั้งโลก

“แต่มาตรฐานบิตคอยน์” คุณ Booth กล่าว “จะหยุดสิ่งนี้”

มีหนี้สินบนโลกมากแค่ไหนที่เป็นหนี้ที่ชั่วร้าย (Odious Debt) คำตอบคือมีเงินกู้นับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐที่ถูกสร้างขึ้นตามอำเภอใจของผู้นำเผด็จการกับสถาบันการเงินที่อยู่เหนือประเทศชาติ และไม่มีใครเลือกตั้งพวกเขามาขึ้นมา หนี้ชั่วร้ายถูกสร้างขึ้นโดยไม่เคยถามความเห็นชอบของประชาชนในฝั่งของผู้กู้เลย สิ่งมีศีลธรรมที่ควรกระทำคือยกเลิกหนี้สินพวกนี้ให้หมด แน่นอนว่ามันจะไม่มีทางจะเกิดขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วเงินให้กู้เหล่านี้ก็ถือเป็นทรัพย์สินบนงบดุลของผู้ที่เป็นเจ้าหนี้ของธนาคารโลกและกองทุน IMF ซึ่งพวกเขาอยากให้ทรัพย์สินพวกนั้นยังคงอยู่ และขอแค่ลูกหนี้ก่อหนี้ใหม่ไปชำระหนี้เก่าก็พอ

“พุทออปชั่น (Put Option)” ของ IMF ในหนี้ภาครัฐนั้นสร้างฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา มันใหญ่กว่าฟองสบู่ดอตคอม ฟองสบู่สินเชื่อซับไพรม์ และใหญ่กว่าฟองสบู่ที่เกิดจากเงินกระตุ้นเศรษฐกิจช่วง COVID-19 การจะรื้อระบบเก่านี้เป็นงานที่เจ็บปวดมาก แต่มันก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำ ถ้าเปรียบว่าหนี้สินคือยาเสพติด ธนาคารโลกและกองทุน IMF คือพ่อค้ายา และรัฐบาลของประเทศที่กำลังพัฒนาคือคนที่ติดยา ก็คงเห็นว่าไม่น่าจะมีฝ่ายไหนที่อยากให้อีกฝ่ายนึงหยุด แต่ที่การจะรักษาผู้ติดยานั้น เราต้องนำผู้ติดยาเข้ารับการบำบัด ระบบเงินเฟียตไม่อนุญาตให้ทำให้สิ่งนี้ได้ แต่ระบบการเงินมาตรฐานบิตคอยน์จะบังคับให้ผู้ป่วยติดยาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการเลิกยา


หมายเหตุผู้แปล : - ฟองสบู่ดอตคอม (Dot-com Bubble) เป็นฟองสบู่จากการเก็งกำไรในตลาดหลักทรัพย์ภาคเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา ในช่วงปี 1997-2000

- ฟองสบู่สินเชื่อซับไพรม์ (Subprime Mortgage Bubble) เป็นฟองสบู่จากเกิดจากการปล่อยกู้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของของสหรัฐอเมริกาซึ่งกลายเป็นวิกฤติการเงิน ในช่วงปี 2008

อย่างที่อาจารย์เซเฟดีน อัมมูสกล่าวในการสัมภาษณ์สำหรับบทความนี้ ว่าทุกวันนี้หากผู้ปกครองของบราซิลต้องการกู้เงินจำนวน 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และรัฐสภาของสหรัฐฯ อนุมัติเงินกู้ดังกล่าวแล้ว ทางสหรัฐฯ ก็สามารถดีดนิ้วเสกเงินขึ้นมาและส่งให้ได้เลยผ่าน IMF แปลว่าระบบการเงินทุกวันนี้เป็นเรื่องของการตัดสินใจทางการเมืองเป็นหลัก แต่ถ้าเรากำจัดเครื่องพิมพ์เงินออกไปได้ การตัดสินใจเหล่านี้จะเป็นเรื่องการเมืองน้อยลง และจะเริ่มเป็นการตัดสินใจอย่างรอบคอบ แบบเดียวกับธนาคาร “ที่สำเหนียกว่าจะไม่มีใครมาอุ้มพวกเขาได้อีกแล้ว” จะพึงกระทำ

ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมาของการครอบงำโดยธนาคารโลกและกองทุน IMF เหล่าทรราชและเครือข่ายที่ยักยอกความมั่งคั่งของประเทศจำนวนนับไม่ถ้วน ต่างก็ได้รับเงินให้กู้เพื่อการช่วยเหลือ (ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับสามัญสำนึกทางการเงิน) เพื่อให้เหล่าประเทศแกนกลางสามารถเข้าฉกฉวยทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานของประเทศเหล่านั้นได้ต่อไป สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้เพราะรัฐบาลซึ่งเป็นหัวใจของระบบเฟียตสามารถพิมพ์เงินที่เป็นสกุลเงินสำรองได้ แต่ในระบบมาตรฐานบิตคอยน์นั้น คุณเซเฟดีน อัมมูสตั้งคำถามว่าใครกันที่จะปล่อยเงินกู้ความเสี่ยงสูงมูลค่านับพันล้านดอลลาร์ เพียงเพื่อจะแลกกับการให้ลูกหนี้เข้ามาขอปรับโครงสร้างเพื่อยืดหนี้เก่าโปะหนี้ใหม่ในภายหลัง

“เป็นคุณจะปล่อยกู้งั้นเหรอ?” เขาถาม “แล้วจะเอาบิตคอยน์ของใครไปปล่อยกู้ล่ะ?”


⚡️ กด Zap ที่ลิงก์นี้ เพื่อเป็นกำลังใจทีมงานผู้เรียบเรียงบทความ

(ทุกยอด zap จะถูกแบ่งอัตโนมัติเข้าวอลเล็ทของผู้เขียนบทความต้นฉบับภาษาอังกฤษ, ผู้แปลดราฟต์ 1, ผู้เรียบเรียงดราฟต์ 2-3, กองบรรณาธิการและพิสูจน์อักษรจากไรท์ชิฟต์ พร้อมกันบางส่วนไว้เพื่อเป็นค่าธรรมเนียมธุรกรรม)


#เวลามีค่าศึกษาบิตคอยน์
#ไรท์ชิฟต์รักคุณ
Author Public Key
npub1l2cp3t052ljhqnt2emsq5py30qqppj3pytprppc4ygjznhv6lzws99ye04