TungKukk on Nostr: ...
เรามีเพื่อนที่สนิทจริงๆกี่คน…
เป็นโพสที่ผมอยากโพสลงเฟสบุ๊คมากเพราะเพื่อนที่รู้จักมักจี่กันเยอะมาก แต่เอาเข้าจริงในชีวิตผมกลับผมเพียงความว่างเปล่า
เพื่อนที่ให้ความรักความหวังกลับล้วนอยู่ในการพบเจอกันผ่านทางโซเชียลเสียส่วนใหญ่
หากคุณไปกดที่หน้าโปรไฟล์ในเฟสบุ๊คก็จะพบว่าคนที่มาไลค์ มาคอมเมนต์ให้บ่อยๆ คือ คนในโลกออนไลน์ที่แทบไม่ได้รู้จักกัน
ด้วยความอีโก้สูงของตัวเอง เมื่อสมัยเข้าเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ๆ เท่าที่ผมจำได้คือ โพสที่ลงรูปที่ถ่ายมีคนสนใจอยู่มิน้อย ทั้งจากความเป็นนักถ่ายรูปมือสมัครเล่น ทั่วไป ผมเริ่มไม่เป็นที่ยอมรับเนื่องจากหันมาทำธุรกิจ “ขายตรง” เพื่อนๆเริ่มหาว่าเราบ้าสิ่งนู้นสิ่งนี้ เรารู้ตัวเองพร้อมสภาวะจำยอมที่เราเริ่มต้นด้วยการที่ไม่มีทุนทรัพย์
เราเป็นเด็กที่เอเนจี้สูงมากหากอยู่ในสังคม แต่แน่นอนว่าสังคมที่มันไหลไปตามสภาวะของสังคมจำยอม มันไม่ได้คัดสรรค์จากตัวเราเอง
ผมเริ่มไม่ได้เป็นที่ต้องการ เพราะเด็กพวกนั้นมองหาแต่ความสนุก แต่สิ่งที่ผมเผชิญหน้าทุกครั้งคือความทุกข์ แม้แต่การเจอกัน เราเริ่มตีตัวออกห่างซึ่งกันและกัน เรื่องที่คุยกันได้ทำให้ผมคิดว่า “เห้ย บางทีกูกับมึงไม่ควรเป็นเพื่อนกันเลย”
ในตอนที่ IG มีปุ่ม Close friend มันเหมือนการที่ผมต้องเลือกว่าใครเป็นเพื่อนสนิท และเป็นผมเองนี่แหละครับที่ไม่เคยใช้ฟังก์ชั่นนี้เลยเพราะไม่รู้ว่า “ใครสนิทกับกูวะ”
เมื่อช่วงเดือนมีนาคม วันที่ผมไปช่วยทีม Right Shift อัด Alt+Tab ผมจำได้อย่างหนึ่ง คือ รู้สึกสนุกเอนจอยกับงานที่ไม่ต้องมีคนรู้จักมึง ไม่ต้องสนิทกับมึง แค่เค้ารักในสิ่งที่มึงรัก ผมว่านี่คือการมีคนรู้จักและนับเป็นเรื่องโชคดี
แต่กลับกันหลังจากวันนั้นผมนั่ง BTS เพื่อไปกินเลี้ยงงานรวมตัวเพื่อนเก่า ซึ่งช่วงแรกของงานก็ดูจะราบเรียบ แต่เมื่อพอย้ายสถานที่ไปถึงร้านแห่งหนึ่ง
สมองผม ณ ตอนนั้น คือความว่างเปล่า มันเหมือนโดนผลกระทบจากความธรรมดา และ กลุ่มคนที่เหมือนแค่เคยรู้จักกัน เป็นความเลวร้าย ผมเหมือนเป็นคนทรยศในสถานการณ์นั้น ผมเริ่มปฏิเสธ สิ่งที่พวกเค้าหยิบยื่น การเข้าสังคม ณ ตอนนั้นของผม กลายเป็นเรื่องเลวร้าย ผมไม่อยากที่จะคิดว่าเราเป็นเพื่อนกัน และ ต้องมาอยู่ในที่ซึ่งเลวร้าย รายล้อมไปด้วย อบายมุข
ความหรรษาเหมือนถูกตราตรึงเมื่อพวกเค้าดึงผมไปสถานที่ ที่สาม และเป็นผมเองที่เดินจากมา
อีกเรื่องที่จะกล่าวมิได้คือ เพื่อนผมที่ไม่ได้ติดต่อกันมาเกินสิบปี เสียชีวิต ผมจำได้ว่า เจอเค้าครั้งสุดท้ายคือ เซเว่นกลางตัวจังหวัด เราทั้งคู่ต่างอวยพรให้กันและกันผดชคดีตามประสาเด็ก ม.5 เค้าเสียชีวิตด้วยอุบัต เหตุ เมื่อผมทักไลน์ถามในกลุ่ม ไม่มีคนตอบผมสักคน
ปีนี้ผมเหมือนถูกทำร้ายด้านความคิดเรื่องเพื่อนไปหมดสิ้น เพื่อนที่เหมือนพึ่งจะเลิกคบ เพื่อนที่ตาย เพื่อนที่ในอดีตที่แทบไม่พูดกันแม้แต่งานศพเพื่อน เพื่อนที่แม้แต่งานแต่งงานเค้ายังไม่มีเรา นี่มันเรื่องบ้าบอชัดๆ
ผมรู้สึกเหมือนเราเป็นเพียงแค่คนรู้จัก มิตรภาพ ณ ตอนนั้น กลายเป็นคำโป้ปด
เราอาจจะเป็นคนเดียวที่ให้คุณค่าหรือแม้แต่กำหนดคุณค่าด้วยตัวของตนเอง
แด่เพื่อนรักทั้งหลาย หากได้มาอ่านใน Note นี้ความสัมพันธ์เรายังเป็นเหมือนเดิม ยังรัก และ หวังดีกับทุกคน
หากการที่เราจากมาคนละเส้นทาง ถือเป็นการเดินทางที่สวยงามเมื่อเราจากกัน ณ ตอนนั้น
Published at
2023-10-26 20:38:42Event JSON
{
"id": "f6e53e212260741979e3c519fdc380f722e5dccb838ca26bf2b7495aaa854629",
"pubkey": "c9f3103344d3fb65cba9064be6fd762e86993b9964c9cfbececedd841f62d71e",
"created_at": 1698345522,
"kind": 1,
"tags": [],
"content": "เรามีเพื่อนที่สนิทจริงๆกี่คน… \n\nเป็นโพสที่ผมอยากโพสลงเฟสบุ๊คมากเพราะเพื่อนที่รู้จักมักจี่กันเยอะมาก แต่เอาเข้าจริงในชีวิตผมกลับผมเพียงความว่างเปล่า \n\nเพื่อนที่ให้ความรักความหวังกลับล้วนอยู่ในการพบเจอกันผ่านทางโซเชียลเสียส่วนใหญ่ \n\nหากคุณไปกดที่หน้าโปรไฟล์ในเฟสบุ๊คก็จะพบว่าคนที่มาไลค์ มาคอมเมนต์ให้บ่อยๆ คือ คนในโลกออนไลน์ที่แทบไม่ได้รู้จักกัน\n\nด้วยความอีโก้สูงของตัวเอง เมื่อสมัยเข้าเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ๆ เท่าที่ผมจำได้คือ โพสที่ลงรูปที่ถ่ายมีคนสนใจอยู่มิน้อย ทั้งจากความเป็นนักถ่ายรูปมือสมัครเล่น ทั่วไป ผมเริ่มไม่เป็นที่ยอมรับเนื่องจากหันมาทำธุรกิจ “ขายตรง” เพื่อนๆเริ่มหาว่าเราบ้าสิ่งนู้นสิ่งนี้ เรารู้ตัวเองพร้อมสภาวะจำยอมที่เราเริ่มต้นด้วยการที่ไม่มีทุนทรัพย์ \n\nเราเป็นเด็กที่เอเนจี้สูงมากหากอยู่ในสังคม แต่แน่นอนว่าสังคมที่มันไหลไปตามสภาวะของสังคมจำยอม มันไม่ได้คัดสรรค์จากตัวเราเอง \n\nผมเริ่มไม่ได้เป็นที่ต้องการ เพราะเด็กพวกนั้นมองหาแต่ความสนุก แต่สิ่งที่ผมเผชิญหน้าทุกครั้งคือความทุกข์ แม้แต่การเจอกัน เราเริ่มตีตัวออกห่างซึ่งกันและกัน เรื่องที่คุยกันได้ทำให้ผมคิดว่า “เห้ย บางทีกูกับมึงไม่ควรเป็นเพื่อนกันเลย”\n\nในตอนที่ IG มีปุ่ม Close friend มันเหมือนการที่ผมต้องเลือกว่าใครเป็นเพื่อนสนิท และเป็นผมเองนี่แหละครับที่ไม่เคยใช้ฟังก์ชั่นนี้เลยเพราะไม่รู้ว่า “ใครสนิทกับกูวะ”\n\nเมื่อช่วงเดือนมีนาคม วันที่ผมไปช่วยทีม Right Shift อัด Alt+Tab ผมจำได้อย่างหนึ่ง คือ รู้สึกสนุกเอนจอยกับงานที่ไม่ต้องมีคนรู้จักมึง ไม่ต้องสนิทกับมึง แค่เค้ารักในสิ่งที่มึงรัก ผมว่านี่คือการมีคนรู้จักและนับเป็นเรื่องโชคดี \n\nแต่กลับกันหลังจากวันนั้นผมนั่ง BTS เพื่อไปกินเลี้ยงงานรวมตัวเพื่อนเก่า ซึ่งช่วงแรกของงานก็ดูจะราบเรียบ แต่เมื่อพอย้ายสถานที่ไปถึงร้านแห่งหนึ่ง \n\nสมองผม ณ ตอนนั้น คือความว่างเปล่า มันเหมือนโดนผลกระทบจากความธรรมดา และ กลุ่มคนที่เหมือนแค่เคยรู้จักกัน เป็นความเลวร้าย ผมเหมือนเป็นคนทรยศในสถานการณ์นั้น ผมเริ่มปฏิเสธ สิ่งที่พวกเค้าหยิบยื่น การเข้าสังคม ณ ตอนนั้นของผม กลายเป็นเรื่องเลวร้าย ผมไม่อยากที่จะคิดว่าเราเป็นเพื่อนกัน และ ต้องมาอยู่ในที่ซึ่งเลวร้าย รายล้อมไปด้วย อบายมุข \n\nความหรรษาเหมือนถูกตราตรึงเมื่อพวกเค้าดึงผมไปสถานที่ ที่สาม และเป็นผมเองที่เดินจากมา \n\nอีกเรื่องที่จะกล่าวมิได้คือ เพื่อนผมที่ไม่ได้ติดต่อกันมาเกินสิบปี เสียชีวิต ผมจำได้ว่า เจอเค้าครั้งสุดท้ายคือ เซเว่นกลางตัวจังหวัด เราทั้งคู่ต่างอวยพรให้กันและกันผดชคดีตามประสาเด็ก ม.5 เค้าเสียชีวิตด้วยอุบัต เหตุ เมื่อผมทักไลน์ถามในกลุ่ม ไม่มีคนตอบผมสักคน \n\nปีนี้ผมเหมือนถูกทำร้ายด้านความคิดเรื่องเพื่อนไปหมดสิ้น เพื่อนที่เหมือนพึ่งจะเลิกคบ เพื่อนที่ตาย เพื่อนที่ในอดีตที่แทบไม่พูดกันแม้แต่งานศพเพื่อน เพื่อนที่แม้แต่งานแต่งงานเค้ายังไม่มีเรา นี่มันเรื่องบ้าบอชัดๆ\n\nผมรู้สึกเหมือนเราเป็นเพียงแค่คนรู้จัก มิตรภาพ ณ ตอนนั้น กลายเป็นคำโป้ปด \n\nเราอาจจะเป็นคนเดียวที่ให้คุณค่าหรือแม้แต่กำหนดคุณค่าด้วยตัวของตนเอง\n\nแด่เพื่อนรักทั้งหลาย หากได้มาอ่านใน Note นี้ความสัมพันธ์เรายังเป็นเหมือนเดิม ยังรัก และ หวังดีกับทุกคน \n\nหากการที่เราจากมาคนละเส้นทาง ถือเป็นการเดินทางที่สวยงามเมื่อเราจากกัน ณ ตอนนั้น",
"sig": "d71c34bbb53e6d9ead5968262c809bf14453386f3d9bf264410ab543550fc355fce7e9d41f71e0fb5bbed85b718cacc4bcf35917a68d0ac2332dd3921769918e"
}