Why Nostr? What is Njump?
2024-05-17 15:20:21

Jakk Goodday on Nostr: รู้กันยัง? อ.ขิง Khing_T21 ...

รู้กันยัง? อ.ขิง กำลังแปลหนังสือที่สะท้อนกลโกงเศรษฐกิจแบบหมดเปลือก! อ่านแล้ว ตาค้าง นี่ไม่ได้ป้ายยานะ แค่มาบอกบุญ! 😂 #siamstr

อ่านที่ยาคิฮอง https://yakihonne.com/article/[email protected]/oxFaxsxNql1R84x4U3P6O

รัฐบาลโกงยังไง? หนังสือเล่มนี้แฉหมด!

เชื่อไหมว่า.. พวกเราโดนรัฐบาลหลอกมาตลอดชีวิต?

เออ.. ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องลึกลับ Aliens หรือ Illuminati อะไรนั่นนะ ผมหมายถึงเรื่องใกล้ตัว เรื่องเศรษฐกิจนี่แหละ!

เคยรู้สึกไหมว่า.. นโยบายรัฐบาลแม่งออกมายังไงก็ไม่เห็นจะดีขึ้น ว่างงานก็ยังเยอะ ของก็แพง แต่ภาษีแม่งก็ขึ้นทุกปี แล้วไอ้พวกนักเศรษฐศาสตร์ที่ออกมาพูด ๆ ก็เหมือนจะเข้าข้างรัฐบาลตลอด พูดแต่เรื่อง GDP เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย แต่ไม่เคยพูดถึงความจริงที่ว่าชีวิตชาวบ้านอย่างเรามันยากลำบากขึ้นทุกวันๆ สรุปคือเรา "รากหญ้า" นี่แหละที่ต้องแบกรับมันทุกอย่าง

ผมเอง.. นอกจากจะสนใจเรื่อง Bitcoin ผมยังแอบสนใจในเศรษฐศาสตร์แนว Austrian School มานานละ เพราะรู้สึกว่ามันค่อนข้าง "Real" ดี มันไม่ใช่แค่ทฤษฎีเลื่อนลอยหรือสูตรคำนวณเว่อร์ ๆ แบบที่พวก Keynesian ชอบใช้ Austrian Economics มันมองคน มองความเป็นจริง มองผลกระทบระยะยาว ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเหมือนที่รัฐบาลชอบทำ

ผมได้อ่านพรีวิวเนื้อหาในหนังสือชื่อว่า "Economics in One Lesson" เขียนโดย เฮนรี แฮซลิตต์ (Henry แฮซลิตต์) ตอนแรกเห็นชื่อก็คิดว่าคงเป็นตำราเศรษฐศาสตร์น่าเบื่อๆ อีกล่ะ แต่พอเปิดอ่านเท่านั้นแหละ.. เหมือนโดนแฮซลิตต์ตบหน้า (ในเชิงความคิด) ทุกบท ทุกตัวอย่าง มันทำให้ผมตาสว่าง และเข้าใจว่าสิ่งที่รัฐบาลชอบทำเนี่ย มันไม่ได้ช่วยเศรษฐกิจจริง ๆ หรอก แต่เป็นการซุกปัญหาไว้ใต้พรมแล้วโยนบาปให้ประชาชนอย่างเรา ๆ

แฮซลิตต์ไม่ได้แค่ด่ารัฐบาลลอยๆ นะครับ เขายังได้อธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผล ยกตัวอย่างชัดเจน เขาแฉหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษี เรื่องการควบคุมราคา นโยบายงานสาธารณะ สวัสดิการสังคม การพิมพ์เงิน การอุ้มธุรกิจ ฯลฯ อ่านแล้วเราจะรู้เลยว่ารัฐบาลมันเล่นกลหลอกลวงประชาชนยังไง และ Austrian Economics มองเรื่องพวกนี้ต่างจาก Keynesian ยังไง

ผมนี่อยากจะตะโกนดัง ๆ ว่า "พวกมึง (รัฐบาล) แม่งโกงว่ะ!"

แต่ก็ทำได้แค่เห็นดีเห็นงามให้ อ.ขิง ไปแปลมันซะ อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านหนังสือดีๆ แล้วตัวเองก็มานั่งเขียนบทความรีวิวนี้แหละครับ (ฮา)

image

แฮซลิตต์ตบหน้าเคนส์ด้วย "One Lesson"

ความรู้สึกแรกที่อ่าน Economics in One Lesson เนี่ย...

ผมเหมือนโดน แฮซลิตต์ ตบหน้าชา ๆ เลยครับ (แต่เป็นการตบหน้าเชิงความคิดนะ ไม่ใช่ตบจริง ๆ ) เพราะตลอดชีวิต ผม (และเชื่อว่าอีกหลาย ๆ คน) น่าจะถูกทำให้เข้าใจมาแบบ Keynesian ตลอด คือ รัฐบาลต้องเข้ามาแทรกแซงเศรษฐกิจ ต้องกระตุ้นการใช้จ่าย ต้องพิมพ์เงิน ต้องมีสวัสดิการ เพื่อให้เศรษฐกิจมันเดินหน้าต่อไปได้

แต่พอมาเจอหนังสือของแฮซลิตต์และแนวคิด Austrian Economics เท่านั้นแหละ เหมือนโลกทัศน์ทางเศรษฐกิจของเราถูกพลิกกลับด้าน แฮซลิตต์เขาตบหน้าความเชื่อแบบ Keynesian ด้วยหลักการง่าย ๆ แค่ข้อเดียวที่เขาเรียกว่า "One Lesson" ซึ่งเป็นหลักการที่โคตรจะ "Common Sense" แต่กลับถูกมองข้ามไปอย่างหน้าตาเฉย นั่นคือ.. เวลาเรามองนโยบายเศรษฐกิจอะไรก็ตามเราต้องมองให้ครบ อย่ามองแค่ผลกระทบระยะสั้น หรือผลกระทบต่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ต้องมอง "ผลกระทบระยะยาว" และ "ผลกระทบต่อทุกกลุ่ม" ซึ่ง แฮซลิตต์เรียกผลกระทบที่เรามองไม่เห็นหรือมองข้ามไปว่า "ผลกระทบรอง"

ยกตัวอย่างง่าย ๆ แบบที่แฮซลิตต์เขาชอบยก คือ เรื่อง "หน้าต่างแตก"

ลองนึกภาพตามนะครับ.. สมมติมีเด็กเกเรปาหินใส่หน้าต่างร้านค้าแตก คนทั่วไปก็จะเห็นว่า เออ.. อย่างน้อยช่างกระจกก็ได้งาน เศรษฐกิจก็หมุนเวียน แต่แฮซลิตต์เขาชี้ให้เห็นว่า.. นั่นเป็นการมองแบบผิวเผิน เพราะสิ่งที่เรามองไม่เห็น คือ เจ้าของร้านต้องเสียเงินซ่อมหน้าต่าง ซึ่งเงินจำนวนนั้นเขาอาจจะเอาไปซื้อของอย่างอื่น เช่น อาจจะซื้อจักรยานใหม่ ซึ่งการซื้อจักรยานมันอาจจะสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจมากกว่าการซ่อมหน้าต่างก็ได้ ใครจะรู้?

เห็นภาพไหมครับ? Keynesian นั้นมองแค่ปลายจมูก เห็นแค่ว่าช่างกระจกจะได้งาน แต่แฮซลิตต์เขามองภาพรวม มองเห็นผลกระทบระยะยาว มองเห็นว่าเจ้าของร้านเสียโอกาสที่จะได้ใช้จ่ายเงินไปกับสิ่งที่อาจจะสร้างประโยชน์มากกว่า

และด้วยหลักการ "One Lesson" นี้แหละ ที่แฮซลิตต์เขาเอาไปวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายงานสาธารณะที่รัฐบาลมักจะบอกว่าสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่แฮซลิตต์ก็แฉว่า จริง ๆ แล้ว เงินที่เอามาสร้าง มันมาจากภาษี ซึ่งแปลว่าภาคเอกชนมีเงินลงทุนน้อยลง สุดท้ายก็ไม่ได้สร้างงานเพิ่ม แค่ย้ายงานจากที่นึงไปอีกที่นึงเท่านั้น

หรือจะเป็นเรื่องการควบคุมราคา ที่รัฐบาลมักจะบอกว่าทำไปเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค แฮซลิตต์ ก็ออกมาแฉว่าการกำหนดเพดานราคามันไม่ได้แก้ปัญหา แต่กลับทำให้สินค้าขาดตลาด เกิดตลาดมืด และเราภาพสินค้าแย่ลง ที่สำคัญคือมันเป็นการทำลายกลไกตลาดที่ควรจะปรับตัวได้เองโดยธรรมชาติ

แฮซลิตต์ยังวิจารณ์นโยบายภาษีที่รัฐบาลบอกว่าเก็บไปเพื่อพัฒนาประเทศ แต่แฮซลิตต์ชี้ให้เห็นว่า “ภาษีที่สูง” มันเป็นการลงโทษคนขยัน ทำลายแรงจูงใจในการทำงานและทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง รวมถึงเรื่องสวัสดิการ ที่รัฐบาลชอบบอกว่าต้องมีเพื่อช่วยเหลือคนยากจน แฮซลิตต์ก็แฉว่า สวัสดิการที่มากเกินไป ทำให้คนไม่อยากทำงาน กลายเป็นภาระของรัฐบาล และสุดท้ายก็ล้มละลาย

นี่ยังไม่หมดนะครับ.. แฮซลิตต์เขายังวิจารณ์อีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์เงิน การอุ้มธุรกิจ การกีดกันทางการค้า ฯลฯ

แม้ว่า แฮซลิตต์ จะเขียน “Economics in One Lesson” ตั้งแต่ปี 1946 แต่เนื้อหามันก็ยัง Relevant กับโลกทุกวันนี้ เพราะรัฐบาลทั่วโลกก็ยังคงใช้นโยบายแบบเดิม ๆ หลอกลวงประชาชนแบบเดิม ๆ ผมอ่านแล้วอยากจะเอาหนังสือ Economics in One Lesson ไปปายัดหน้าคนพวกนี้สักสิบรอบ เผื่อจะตาสว่างขึ้นมาบ้าง

image

อาวุธลับ Austrian Economics ปี 2024

ทีนี้พอพูดถึง Austrian Economics หลายคนอาจจะงงๆ ว่ามันคืออะไร เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin เกี่ยวอะไรกับแฮซลิตต์ และเกี่ยวอะไรกับเราในปี 2024 (และปีต่อๆ ไป) ผมจะเล่าแบบง่ายๆ ให้ฟังละกันนะครับ

”Austrian Economics” มันเป็นสำนักคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่เน้น "Logic" เป็นหลัก คือ ใช้ตรรกะ เหตุผลในการวิเคราะห์ ไม่ใช่ใช้สูตรคำนวณ ไม่ใช้แบบจำลองหรือสถิติอย่างที่ที่ Keynesian ชอบใช้

Austrian Economics มองว่าเศรษฐกิจมันซับซ้อนเกินกว่าที่จะยัดลงในสมการ และสิ่งสำคัญคือการเข้าใจ "Human Action" หรือ พฤติกรรมของมนุษย์ เพราะมนุษย์แต่ละคนจะมีแรงจูงใจ ความต้องการ และความรู้ ที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจของพวกเขา

นอกจากนี้ Austrian Economics ยังเน้น "Individualism" หรือ ความสำคัญของปัจเจกชน มองว่าเศรษฐกิจมันขับเคลื่อนด้วยการตัดสินใจของปัจเจกชน ไม่ใช่การควบคุมจากส่วนกลางหรือรัฐบาล ซึ่งตรงนี้แหละที่ทำให้ Austrian Economics เชื่อมโยงกับ Bitcoin อย่างมาก

เพราะ Bitcoin มันคือ "Sound Money" ที่ไม่มีใครควบคุม มันเป็น Decentralized คือ กระจายอำนาจ ไม่มีใครสามารถพิมพ์เงินเพิ่มได้ตามใจชอบเหมือนเงิน Fiat ที่รัฐบาลควบคุม และสิ่งนี้มันสอดคล้องกับปรัชญาของ Austrian Economics ที่เชื่อใน ”Free Market” หรือ ”ตลาดเสรี” ที่ปัจเจกชนมีอิสระในการตัดสินใจ โดยไม่ต้องถูกแทรกแซงจากรัฐบาล

ถ้าจะเปรียบเทียบ Keynesian กับ Austrian Economics แบบเห็นภาพ Keynesian มันเหมือนหมอที่พยายามควบคุมร่างกายของเราด้วยการให้ยา ผ่าตัด หรือบังคับให้เราทำตามคำสั่ง ส่วน Austrian Economics มันเหมือน "ภูมิคุ้มกัน" ของร่างกาย ที่ปล่อยให้ร่างกายจัดการตัวเอง ซ่อมแซมตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งหมอมากนัก

และหนังสือของแฮซลิตต์นี่แหละ ที่เป็นเหมือน "วัคซีน" ฉีดภูมิคุ้มกันความรู้แบบ Austrian Economics ให้กับเรา ทำให้เราเข้าใจหลักการพื้นฐานและวิธีมองเศรษฐกิจแบบ Austrian

ตัวอย่างเช่น เรื่องเงินเฟ้อที่ Keynesian มองว่าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ Austrian Economics มองว่าเงินเฟ้อเป็น "ขโมย" ที่ขโมยอำนาจซื้อของเรา ทำให้เราจนลงโดยที่เราไม่รู้ตัว

หรือเรื่องการว่างงานที่ Keynesian มองว่ารัฐบาลต้องเข้ามาแก้ไข ด้วยการสร้างงานสาธารณะ หรือ แจกเงิน แต่ Austrian Economics มองว่าการว่างงานเกิดจาก "Wage Rigidity" หรือ ”ค่าจ้างที่ไม่ยืดหยุ่น” ส่วนใหญ่เป็นเพราะสหภาพแรงงานหรือกฎหมายค่าแรงขั้นต่ำที่ทำให้ค่าจ้างสูงเกินไป จนผู้ประกอบการไม่สามารถจ้างงานได้

จะเห็นได้ว่า Austrian Economics มันมองต่างจาก Keynesian ในหลาย ๆ เรื่อง และหนังสือของแฮซลิตต์ มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะทำให้เราเข้าใจ Austrian Economics ได้มากขึ้น

ผมอยากแนะนำให้ทุกคนที่สนใจ Bitcoin เศรษฐศาสตร์ หรือ การเมือง ลองศึกษา Austrian Economics กันดูครับ เพราะมันจะทำให้เราเข้าใจโลก เข้าใจเศรษฐกิจ และเข้าใจตัวเองมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญมันจะทำให้เรารู้ทัน และไม่โดนรัฐบาลหลอกเอาง่ายๆ

image

อ่านแล้วได้อะไร? ทำไมต้องอ่าน?

เอาล่ะ มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะคิดว่า "แล้วหนังสือเล่มนี้มันจะให้อะไรกับเราวะ?"

"ทำไมเราต้องอ่าน?" "มันจะช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้น รวยขึ้น หรือหล่อขึ้นไหม?" (ฮา)

ผมบอกเลยว่าหนังสือเล่มนี้ มันไม่ใช่แค่ตำราเศรษฐศาสตร์น่าเบื่อ ๆ ที่สอนแต่ทฤษฎี ตัวเลข หรือสมการที่ทำให้เราหลับคาหนังสือ แต่แฮซลิตต์เขาเขียนแบบเข้าใจง่าย ยกตัวอย่างใกล้ตัวเหมือนกำลังนั่งคุยกับเรา เล่าเรื่องเศรษฐกิจแบบ "Common Sense" ให้เราฟัง

สิ่งแรกที่เราจะได้จากหนังสือเล่มนี้ คือ "ความรู้" ทางเศรษฐศาสตร์ที่ถูกต้อง แม่นยำ และ "ใช้ได้จริง" ไม่ใช่ความรู้แบบท่องจำหรือแค่ทฤษฎีเลื่อนลอย แฮซลิตต์จะพาเราดำดิ่งสู่โลกของ Austrian Economics ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจ "Human Action" ที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่เหมือน Keynesian ที่มองเศรษฐกิจแบบ "Top-down" คือ รัฐบาลต้องเข้ามาควบคุม แทรกแซง แต่ Austrian Economics นั้นมองแบบ "Bottom-up" คือ เศรษฐกิจมันขับเคลื่อนด้วยการตัดสินใจของปัจเจกชน

และแฮซลิตต์ก็สอนให้เรามอง "ผลกระทบระยะยาว" ของนโยบายซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลมักจะมองข้ามหรือจงใจไม่พูดถึง รัฐบาลชอบโฆษณาชวนเชื่อ พูดถึงแต่ผลประโยชน์ระยะสั้นแต่ไม่เคยพูดถึงผลเสียระยะยาว แฮซลิตต์จะสอนให้เรา "มองทะลุ" มายาคติและเห็น "ความจริง" ที่รัฐบาลพยายามปกปิด

นอกจากความรู้แล้ว หนังสือเล่มนี้ยังเป็น "เครื่องมือ" วิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจ ทำให้เรามองทะลุกลโกงของรัฐบาล รู้ทันว่านโยบายแต่ละอย่างมันมีผลกระทบที่แท้จริงอย่างไร อย่างการพิมพ์เงิน ที่รัฐบาลชอบทำเวลาเศรษฐกิจแย่โดยอ้างว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่แฮซลิตต์จะทำให้เราเห็นว่า การพิมพ์เงินมันไม่ได้สร้างความมั่งคั่ง แต่เป็นการ "ขโมย" อำนาจซื้อจากประชาชน ทำให้เงินเฟ้อ ของแพง และชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบากขึ้น

ที่สำคัญที่สุด หนังสือเล่มนี้จะ "เปลี่ยนวิธีมองโลก" ของเรา ทำให้เรามองเห็นความเชื่อมโยง มองเห็น "Big Picture" ของระบบเศรษฐกิจ ทำให้เราเข้าใจว่าการแทรกแซงของรัฐบาลมักจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ "เลวร้าย" ยิ่งกว่าเดิม และ "ตลาดเสรี" ต่างหากที่เป็นกลไก "ธรรมชาติ" ที่สมดุลและช่วยสร้างความเจริญรุ่งเรืองได้อย่างยั่งยืน

ถ้าเราเป็นคนที่สนใจ Bitcoin เศรษฐศาสตร์ หรือ การเมือง ผมบอกเลยว่า Economics in One Lesson เป็นหนังสือที่เรา "ต้องอ่าน" เพราะมันจะทำให้เรา "ฉลาด" ขึ้น ไม่ใช่แค่ฉลาดแบบท่องจำ แต่ฉลาดแบบ "เข้าใจ" "คิดเป็น" "วิเคราะห์เป็น" และ "ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด"

มันเหมือนแฮซลิตต์กำลังยื่น "อาวุธลับ" ให้กับเรา เพื่อต่อสู้กับ "ความโง่เขลา" ของรัฐบาลและ "ความไม่รู้" ของตัวเราเอง

เพราะ "ความรู้" ก็คือ อำนาจ และ Economics in One Lesson คือ หนังสือที่จะมอบ "อำนาจ" นั้นให้กับเรา

ลองถามตัวเองดูครับว่าเราอยากเป็น "เหยื่อ" ที่ถูกหลอกโดยรัฐบาล หรือ อยากเป็น "ผู้รู้" ที่มองทะลุกลโกงและสามารถตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตได้อย่างชาญฉลาด

ถ้าอยากเป็น "ผู้รู้" แฮซลิตต์และหนังสือเล่มนี้รอเราอยู่ครับ (รอ อ.ขิง แปลให้เสร็จก่อนด้วย)

image

ส่งท้าย

เฮ้อ... เขียนมาซะยาวเลย เหนื่อยเหมือนกันนะครับเนี่ย (ทำไมต้องเขียนยาวตลอดด้วย)

ใครที่สนใจเรื่องเศรษฐศาสตร์ การเมือง Bitcoin หรือ Austrian Economics ลองหาต้นฉบับหนังสือ Economics in One Lesson มาอ่านกันดูนะครับ หรือจะรอฉบับแปลไทยของ อ.ขิง ของเราก็ได้ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน

ถ้าอยากติดตามบทความ Long-form อื่นๆ ของผม ก็สามารถติดตามได้ที่ รวมบทความ Long-form ของ Jakk และถ้าชอบผลงานของผม อยากสนับสนุน ก็สามารถ Zap กันได้เลยตามอัธยาศัยครับ (ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย)

ผมเชื่อในปรัชญา ”Value for Value” คือ ถ้าเราได้รับเราค่าจากงานของผม เราก็สามารถตอบแทนได้ด้วยมูลค่าที่เราเห็นสมควร

เอาล่ะ.. ส่งท้ายละ..

หลายคนอาจสงสัยว่า ไอ้ที่แฮซลิตต์เขาเขียนวิจารณ์รัฐบาลเนี่ย มันเกี่ยวกับ Keynesian ยังไง?

เอาจริงๆ คือ แฮซลิตต์ เขาไม่ได้ใช้คำว่า "โกง" ตรงๆ หรอกนะครับ แต่วิธีที่เขาอธิบาย วิเคราะห์ และยกตัวอย่างผลกระทบของนโยบายรัฐบาล มันทำให้เห็นชัดเลยว่า นโยบายแบบ Keynesian เนี่ย มันไม่ได้ช่วยเศรษฐกิจจริง ๆ แถมยังสร้างความเสียหายระยะยาวอีกต่างหาก

แฮซลิตต์ เขาเชื่อว่ารัฐบาลไม่ควรยุ่งกับเศรษฐกิจมาก ควรแค่สร้างกฎกติกาให้เป็นธรรม แล้วปล่อยให้ตลาดมันทำงานของมันไป (Leissez faire)

แต่แน่นอน.. นี่เป็นมุมมองของแฮซลิตต์ซึ่งเป็น Austrian School ที่วิจารณ์ Keynesian มันก็มีนักเศรษฐศาสตร์อีกหลายคนที่เห็นต่างและเชื่อว่า Keynesian เป็นทางออกของเศรษฐกิจ (เราได้ยินได้เห็นกันบ่อยแล้ว)

สุดท้าย ใครจะถูก ใครจะผิด ก็อยู่ที่มุมมองและการตีความของแต่ละคนครับ

ปล.

  • ใครที่อ่าน Economics in One Lesson จบแล้ว อยากต่อยอดความรู้ แนะนำให้อ่าน “Human Action” ของ Ludwig von Mises ครับ เป็น "ตำราแม่" ของ Austrian Economics เลย
  • ส่วนตัวผมมองว่า Economics in One Lesson เป็นหนังสือที่ "เปลี่ยนมุมมอง" ผมเลย มันทำให้ผมมองโลก มองเศรษฐกิจ มองการเมือง ต่างไปจากเดิม และทำให้ผม "เข้าใจ" และ "คิดเป็น"
  • สุดท้ายอยากฝากไว้ว่า การศึกษา การเรียนรู้ เป็นสิ่งสำคัญ อย่าหยุดที่จะ "ตั้งคำถาม" "ค้นคว้า" และ "พัฒนาตัวเอง" นะครับ เพราะ "ความรู้" คือ อำนาจ และ "อำนาจ" นั้น จะทำให้เราเป็น ”อิสระ”

เจอกันใหม่ บทความหน้าครับ! ✌️

image

ประโยคเด็ดจาก Economics in One Lesson ฉบับ Jakk Goodday 🔥

ในฉบับแปลของ อ.ขิง จะไม่เดือดขนาดนี้นะครับ เพราะภาษาต้นฉบับออกจะสุภาพ (อันนี้ผมแปลเอามันส์)

“The art of economics consists in looking not merely at the immediate but at the longer effects of any act or policy; it consists in tracing the consequences of that policy not merely for one group but for all groups.”

“แฮซลิตต์เขาสอนให้มองการณ์ไกล ไม่ใช่แค่ผล immediate แต่ต้องดู long-term impact ไม่ใช่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ต้องมองภาพรวม ทุกกลุ่ม ทุกคนแม่งโดนผลกระทบหมด!”

“The bad economist sees only what immediately strikes the eye; the good economist also looks beyond. The bad economist sees only the direct consequences of a proposed course; the good economist looks also at the longer and indirect consequences.”

“นักเศรษฐศาสตร์ห่วย ๆ แม่งเห็นแค่ "สิ่งที่ตาเห็น" แต่แฮซลิตต์สอนให้มอง "ทะลุปรุโปร่ง" เห็น "ผลกระทบรอง" ที่ซ่อนอยู่ ซึ่งแม่งสำคัญกว่าที่คิดเยอะ!”

“Everything we get, outside of the free gifts of nature, must in some way be paid for.”

“ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ โว้ย! (ยกเว้นอากาศบริสุทธิ์ กับ ความรักจากแม่) ทุกอย่างมันมีต้นทุน แม้แต่ "ของฟรี" จากรัฐบาล สุดท้ายก็ต้องจ่ายด้วยภาษีอยู่ดี”

“Government “encouragement” to business is sometimes as much to be feared as government hostility.”

“รัฐบาลชอบ "อุ้ม" ธุรกิจ ซึ่งน่ากลัวกว่ารัฐบาล "ตี" ธุรกิจอีก เพราะ "อุ้ม" เนี่ย.. มันบิดเบือนตลาด ทำให้ธุรกิจอ่อนแอ และประชาชน "เสียหาย" ในระยะยาว”

“The belief that machines on net balance create unemployment … is the basis of many labor union practices. The public tolerates these practices because it either believes at bottom that the unions are right, or is too confused to see just why they are wrong.”

“สหภาพแรงงานชอบโทษ "เครื่องจักร" ว่าทำให้คนตกงาน ซึ่งแม่งโคตรไม่จริง เครื่องจักรมันช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และสร้างงานใหม่ด้วยซ้ำ แต่คนส่วนใหญ่แม่งไม่รู้ หรือไม่ก็ "งง" จนไม่รู้จะเถียงยังไง”

“The drive for exports is exceeded only by the pathological dread of imports.”

“รัฐบาลชอบ "บ้าส่งออก" จริงๆ แล้ว การนำเข้ามันสำคัญกว่า เพราะมันทำให้เรามีของใช้ มีทางเลือก และมีชีวิตที่ดีขึ้น การส่งออกมันแค่ "จ่ายค่า" การนำเข้าเท่านั้น”

“Inflation is the autosuggestion, the hypnotism, the anesthetic, that has dulled the pain of the operation for him. Inflation is the opium of the people.”

“เงินเฟ้อแม่งเหมือน "ฝิ่น" หลอกให้เราเคลิ้ม ว่าเศรษฐกิจดี ทั้งที่จริงๆ แล้ว มันกำลัง "ขโมย" อำนาจซื้อของเรา ทำให้เราจนลงโดยไม่รู้ตัว”

“There is no more certain way to deter employment than to harass and penalize employers. There is no more certain way to keep wages low than to destroy every incentive to investment in new and more efficient machines and equipment."

“อยากให้คนตกงาน? ก็ไป "รังแก" นายจ้างสิ! อยากให้ค่าแรงต่ำ? ก็ไป "ทำลาย" แรงจูงใจในการลงทุนสิ!”

“The idea that an expanding economy implies that all industries must be simultaneously expanding is a profound error. In order that new industries may grow fast enough it is usually necessary that some old industries should be allowed to shrink or die.”

“เศรษฐกิจโต ไม่ใช่ว่าทุกอุตสาหกรรมต้องโต บางอุตสาหกรรมมันต้อง "ตาย" ไป เพื่อให้ "อุตสาหกรรมใหม่" มันเกิด แฮซลิตต์สอนให้ "ทำลายอย่างสร้างสรรค์" ”

“The whole argument for [the government] entering the lending business, in fact, is that it will make loans to people who could not get them from private lenders. This is only another way of saying that the government will take risks with other people’s money (the taxpayers’) that private lenders will not take with their own money.”

“รัฐบาลชอบ "แจกเงินกู้" แฮซลิตต์บอกว่า แม่งเอาเงินภาษีของเราไปแจก โดยที่ธนาคารเขายังไม่กล้าปล่อยกู้เลย เสี่ยง "เจ๊ง" สูง!”

“It is impossible, moreover, to control the value of money under inflation. For, as we have seen, the causation is never a merely mechanical one … Each person’s valuation of money is affected not only by what he thinks its value is but by what he thinks is going to be everybody else’s valuation of money.”

“เงินเฟ้อแม่งควบคุมยาก มันไม่ใช่แค่ "กลไก" แต่เป็น "จิตวิทยา" ล้วน ๆ คนกลัวเงินเฟ้อ เงินเฟ้อก็ยิ่งมา แม่งวนลูป!”

* “ In a free economy, in which wages, costs and prices are left to the free play of the competitive market, the prospect of profits decides what articles will be made, and in what quantities—and what articles will not be made at all.”*

“ตลาดเสรี กำไรคือ "ตัวกำหนด" ว่าจะผลิตอะไร เท่าไหร่ รัฐบาลอย่าเสือก! ปล่อยให้ตลาดมันจัดการตัวเอง”

“The first groups to receive the additional money will benefit the most. … The gains of the first groups of producers to benefit by higher prices or wages from the inflation are necessarily at the expense of the losses suffered by the last groups of producers that are able to raise their prices or wages.

“เงินเฟ้อ ไม่ได้กระทบทุกคนเท่ากัน กลุ่มแรกที่ได้เงินแม่ง "รวย" กลุ่มสุดท้าย "จน" แม่งโคตรไม่แฟร์!”

“The real causes of depression are … maladjustments within the wage-cost-price structure: maladjustments between wages and prices, between prices of raw materials and prices of finished goods, or between one price and another or one wage and another. … Not until these maladjustments are corrected can full production and employment be resumed.”

“เศรษฐกิจพัง เพราะ "ราคา" กับ "ต้นทุน" มันเพี้ยน! ต้องแก้ที่ต้นเหตุโว้ย ไม่ใช่ "พิมพ์เงิน”

Author Public Key
npub1mqcwu7muxz3kfvfyfdme47a579t8x0lm3jrjx5yxuf4sknnpe43q7rnz85