Why Nostr? What is Njump?
2024-09-04 08:46:09

Jakk Goodday on Nostr: Blocksizewar และพัฒนาการอื่นๆ (Hard, Soft Fork) ...

Blocksizewar และพัฒนาการอื่นๆ (Hard, Soft Fork)


อ่านที่ยาคิฮอง https://w3.do/4GMZ0tA2 หรือที่ฮับบลา https://w3.do/b8exfnvk

Bitcoin ถือกำเนิดขึ้นในปี 2009 จากวิสัยทัศน์ของ Satoshi Nakamoto บุคคลหรือกลุ่มบุคคลปริศนา ที่ใฝ่ฝันถึง "เงินสดดิจิทัล" อิสระ ไร้พรมแดน ไร้การควบคุมจากรัฐบาล

ในช่วงแรกเริ่ม Bitcoin เป็นเสมือนเพชรดิบที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เป็นที่รู้จักกันเฉพาะในกลุ่มเล็กๆ ที่หลงใหลในเทคโนโลยีและศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของมัน

แต่แล้ว Bitcoin ก็เริ่มฉายแสงเจิดจรัส ดึงดูดความสนใจจากผู้คนทั่วโลก ราคาพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว บริษัทและบริการต่างๆ ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด

ทว่า.. เส้นทางสู่ความสำเร็จของ Bitcoin ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ Bitcoin ยังต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งปัญหาทางเทคนิค ความขัดแย้งภายในชุมชน และการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ

Blocksize Limit จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งและสงคราม Big Blocks VS Small Blocks

ย้อนกลับไปในปี 2010 Satoshi Nakamoto ได้เพิ่ม "Blocksize Limit" ซึ่งเป็นข้อจำกัดขนาดของ Block ใน Bitcoin ไว้ที่ 1MB เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ในยุคแรกเริ่ม

แต่เมื่อ Bitcoin ได้รับความนิยมมากขึ้น ธุรกรรมก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว Blocksize Limit 1MB เริ่มจะกลายเป็นปัญหา..

เกิดการถกเถียงอย่างดุเดือดในชุมชน Bitcoin ว่าควรเพิ่ม Blocksize Limit หรือไม่

ฝ่าย "Small Blockers" นำโดยนักพัฒนา Bitcoin Core ส่วนใหญ่ เชื่อว่า Blocksize Limit ควรคงที่ เพื่อรักษาความปลอดภัยและการกระจายอำนาจ พวกเขากล่าวอ้างว่า Big Blocks จะทำให้ Bitcoin รวมศูนย์อยู่ที่ Miners รายใหญ่ และยากต่อการรัน Full Nodes สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่งจะบั่นทอนความเป็น Decentralized ของ Bitcoin

ฝ่าย "Big Blockers" นำโดย Gavin Andresen ผู้สืบทอดตำแหน่งจาก Satoshi Nakamoto และ Mike Hearn เชื่อว่า Bitcoin ควรเติบโตอย่างไม่จำกัด "Big Blocks" คือคำตอบ พวกเขามองว่า Small Blocks จะทำให้ Bitcoin ไม่สามารถรองรับธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น ค่าธรรมเนียมจะพุ่งสูง และ Bitcoin จะไม่สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน..

ความขัดแย้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกัน

Gavin Andresen ผู้ที่เคยได้รับความไว้วางใจจาก Satoshi รู้สึกผิดหวังที่ Bitcoin Core ไม่ยอมเพิ่ม Blocksize Limit เขาเชื่อมั่นว่า Bitcoin ควรเป็นระบบการชำระเงินที่ใช้งานได้จริง รวดเร็ว และมีค่าธรรมเนียมต่ำ

Blockstream บริษัทผู้ทรงอิทธิพล และความกังวลเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน

ปี 2014 กลุ่มนักพัฒนา Bitcoin Core บางส่วนได้ก่อตั้งบริษัท Blockstream (นำโดย Adam Back) พวกเขาเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี Blockchain และกลายเป็นที่มถกเถียงว่าอิทธิพลอย่างมากต่อ Bitcoin Core

Blockstream สนับสนุน "Small Blocks"

เช่นเดียวกับ Bitcoin Core พวกเขาพัฒนา "Sidechains" ซึ่งเป็น Blockchain แยกต่างหากที่เชื่อมต่อกับ Bitcoin เช่น Liquid Network Sidechains ซึ่งช่วยให้ Blockstream สามารถเก็บค่าธรรมเนียมจากธุรกรรม และขายบริการให้กับองค์กรหรือบริษัทต่างๆ ได้

ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่าง Blockstream และ Bitcoin Core ทำให้เกิดความกังวลขึ้นในชุมชน Bitcoin ในขณะนั้น ว่า Blockstream อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนและต้องการให้ Bitcoin คงขนาดเล็ก เพื่อผลักดันให้คนใช้งาน "Sidechains" ของพวกเขา

BitcoinXT และ Bitcoin Classic ความพยายามแก้ไข Blocksize ที่ถูกต่อต้าน

ปี 2015 Mike Hearn และ Gavin Andresen ตัดสินใจเสนอทางออกด้วยการสร้าง "BitcoinXT" ซอฟต์แวร์ Bitcoin เวอร์ชั่นใหม่ ที่ เพิ่ม Blocksize Limit เป็น 8MB

แต่ BitcoinXT ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากฝ่าย Small Blockers

Bitcoin.org เว็บไซต์หลักของ Bitcoin และ r/Bitcoin ฟอรัมหลักของ Bitcoin ได้เซ็นเซอร์ BitcoinXT ไม่ให้ปรากฏ เกิดการโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งเป้าไปที่ BitcoinXT โดยตรง

Coinbase บริษัทแลกเปลี่ยน Cryptocurrency รายใหญ่ ประกาศสนับสนุน BitcoinXT แต่กลับถูกถอดออกจาก Bitcoin.org

ต่อมา Bitcoin Classic ถูกสร้างขึ้นเป็นอีกหนึ่งทางเลือก แต่ก็ล้มเหลวเช่นกัน

เนื่องจาก Bitcoin Core ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากในชุมชน Bitcoin ในเวลานั้น..

Hong Kong Agreement และ New York Agreement ความพยายามประนีประนอมที่ไม่ลงตัว

ปี 2016 และ 2017 เกิดความพยายามในการประนีประนอมระหว่างฝ่าย Small Blocks และ Big Blockers ถึงสองครั้ง คือ "Hong Kong Agreement" และ "New York Agreement"

ทั้งสองข้อตกลงมีเป้าหมายที่จะเปิดใช้งาน SegWit และเพิ่ม Blocksize Limit เป็น 2MB แต่ Bitcoin Core ไม่ทำตามสัญญาในการเพิ่ม Blocksize Limit ทำให้ข้อตกลงล้มเหลว

ความล้มเหลวของข้อตกลงทั้งสอง สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจระหว่างสองฝ่าย และความยากลำบากในการหาจุดร่วมที่ทุกฝ่ายยอมรับ

SegWit ก้าวสำคัญของ Bitcoin และจุดกำเนิดของ Bitcoin Cash

ในที่สุด SegWit ก็ถูกเปิดใช้งานบน Bitcoin ในเดือนสิงหาคม 2017

SegWit เป็น Soft Fork ที่เปลี่ยนแปลงวิธีการจัดเก็บข้อมูลใน Block เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัย

SegWit ช่วยแก้ปัญหา "Transaction Malleability" ซึ่งเป็นช่องโหว่ด้านความปลอดภัย และปูทางไปสู่การพัฒนา "Layer 2 solutions" เช่น Lightning Network ในเวลาต่อมา..

อย่างไรก็ตาม.. กลุ่ม "Big Blockers" มองว่า SegWit ไม่ใช่ทางออกที่แท้จริงสำหรับปัญหาการขยายขนาด (พวกเขาต้องการขยายขนาดบล็อกบนเลอเยอร์ฐาน) พวกเขาไม่พอใจที่ Bitcoin Core ไม่ทำตามสัญญาในการเพิ่ม Blocksize Limit

ในเดือนสิงหาคม 2017 กลุ่ม "Big Blockers" ได้ทำการ "Hard Fork" Bitcoin เพื่อสร้าง "Bitcoin Cash (BCH)" ซึ่งอ้างว่ามุ่งสืบทอดจุดมุ่งหมายดั้งเดิมของ Bitcoin ในฐานะ "เงินสดดิจิทัล"

ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย Bug ร้ายแรงใน Bitcoin Core และบทเรียนที่ได้รับ

ในเดือนกันยายน 2018 Awemany นักพัฒนา BCH ค้นพบ Bug ร้ายแรงใน Bitcoin Core (CVE-2018-17144) ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้

Bug นี้เกิดจากความผิดพลาดในการเขียนโค้ด และอาจทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถสร้าง Bitcoin ปลอมขึ้นมาได้

Awemany ได้แจ้งเตือนนักพัฒนา Bitcoin Core อย่างเงียบๆ แทนที่จะใช้ประโยชน์จาก Bug นี้ แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบของเขา และ Bug นี้ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว

เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจสอบโค้ดอย่างละเอียด และความจำเป็นของการมีนักพัฒนาจากหลายฝ่ายเพื่อช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องของโค้ด

นอกจากนี้.. ยังเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้แต่ระบบที่ถูกออกแบบมาอย่างดี ก็ยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

Bitcoin Cash แตกแยก การ Hard Fork ครั้งที่สอง และบทบาทของ Craig Wright

ในเดือนพฤศจิกายน 2018 Bitcoin Cash (BCH) ได้แตกออกเป็นสองสาย คือ Bitcoin ABC (BCH) และ Bitcoin SV (BSV)

การ Hard Fork นี้เกิดจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มนักพัฒนา Bitcoin ABC นำโดย Amaury Séchet และกลุ่ม Bitcoin SV นำโดย Craig Wright ผู้ที่อ้างว่าเป็น Satoshi Nakamoto 🤔

ความขัดแย้งหลักคือเรื่องขนาดของ Block และทิศทางการพัฒนา Bitcoin Cash

กลุ่ม Bitcoin SV ต้องการเพิ่มขนาด Block อย่างมาก ในขณะที่กลุ่ม Bitcoin ABC ต้องการปรับปรุง Bitcoin Cash ในด้านอื่นๆ เช่น Smart Contracts

Craig Wright มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน Bitcoin SV เขาเชื่อมั่นว่า Bitcoin ควรเป็นไปตามวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Satoshi Nakamoto โดยเน้นที่การเป็น "เงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบ peer-to-peer"

การ Hard Fork นี้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของความคิดเห็นในชุมชน Cryptocurrency และความยากลำบากในการหาจุดร่วมที่ทุกฝ่ายยอมรับ

นอกจากนี้.. ยังสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการกำหนดทิศทางของ Cryptocurrency ในอนาคตอีกด้วย

Bitcoin ในปัจจุบัน เส้นทางสู่ทองคำดิจิทัล และวิวัฒนาการของเทคโนโลยี

หลังจากการ Hard Fork ของ Bitcoin Cash

Bitcoin ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ Bitcoin ได้รับการยอมรับมากขึ้นในวงกว้าง มีมูลค่าตลาดสูง และถูกมองว่าเป็น "ทองคำดิจิทัล" ที่สามารถใช้เก็บรักษามูลค่าในระยะยาว (Store of Value)

การพัฒนา Lightning Network เป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาเรื่องค่าธรรมเนียมและความเร็วในการทำธุรกรรม

Lightning Network เป็น "Second Layer" ที่สร้างขึ้นบน Bitcoin Blockchain ช่วยให้สามารถทำธุรกรรมได้รวดเร็วขึ้น มีค่าธรรมเนียมต่ำ และมีความเป็นส่วนตัวสูง

อย่างไรก็ตาม.. Lightning Network ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทาย เช่น ปัญหาเรื่องการบริหารจัดการ Liquidity และความซับซ้อนในการใช้งาน

นอกจาก Lightning Network แล้ว ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของ Bitcoin เช่น Taproot ซึ่งเป็น Soft Fork ที่ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว และ Schnorr signatures ซึ่งเป็น Digital Signature แบบใหม่ ที่ช่วยลดขนาดของธุรกรรมให้เล็กลง

นอกจากนี้.. ยังเริ่มมีการพัฒนา DeFi (Decentralized Finance) บน Bitcoin และ Bitcoin Ordinals ซึ่งเป็นวิธีการใหม่ในการฝังข้อมูลลงใน Bitcoin Blockchain

Bitcoin ยังคงถูกนำไปใช้ในประเทศอื่นๆ นอกจาก El Salvador และมีความพยายามในการแก้ปัญหาความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมจากการขุด Bitcoin

บทเรียนจากมหากาพย์แห่งวิวัฒนาการ

ประวัติศาสตร์ Bitcoin สอนให้เรารู้ว่า.. เทคโนโลยี Blockchain มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลก แต่เส้นทางสู่ความสำเร็จไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ความขัดแย้ง การต่อสู้แย่งชิงอำนาจ และการตัดสินใจที่ยากลำบาก ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ.. เราต้องศึกษา ทำความเข้าใจ และอาจมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของเทคโนโลยีนี้ เพื่อให้ Blockchain สามารถสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับมวลมนุษยชาติต่อไป

เจาะลึกวิวัฒนาการของ Bitcoin การ Soft Forks, Hard Forks และมุมมองที่แตกต่าง

SegWit, Taproot และ Soft Forks อื่นๆ การปรับปรุง Bitcoin อย่างนุ่มนวล

Bitcoin Core ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ นักพัฒนาได้ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุง Bitcoin ให้ดีขึ้น โดยใช้ "Soft Forks" ซึ่งเป็นการอัพเกรดที่เข้ากันได้กับซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นเก่า

SegWit (Segregated Witness)

เปิดตัวในปี 2017 SegWit เป็นเหมือนการจัดระเบียบข้อมูลใน Block ใหม่ ย้ายส่วนที่เรียกว่า "Witness data" (ข้อมูลลายเซ็น) ออกไปไว้ข้างนอก ทำให้มีพื้นที่ว่างใน Block มากขึ้น รองรับธุรกรรมได้มากขึ้น และลดค่าธรรมเนียมได้ SegWit ยังช่วยแก้ปัญหา "Transaction Malleability" ึ่งเป็นช่องโหว่ด้านความปลอดภัย และปูทางไปสู่การพัฒนา Lightning Network

Taproot

เปิดตัวในปี 2021 Taproot เป็น Soft Fork ที่ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว และประสิทธิภาพของ Bitcoin Taproot ทำให้ธุรกรรมที่ซับซ้อน เช่น Smart Contracts มีขนาดเล็กลง และยากต่อการแยกแยะจากธุรกรรมทั่วไป

Soft Forks อื่นๆ ที่ Bitcoin Core ได้นำมาใช้ เช่น BIP 65 (CheckLockTimeVerify) และ BIP 112 (CSV) ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน Bitcoin และปูทางไปสู่การพัฒนาฟังก์ชันใหม่ๆ

Hard Forks เส้นทางที่แตกต่าง และการถือกำเนิดของเหรียญใหม่

ในขณะที่ Soft Forks เป็นการอัพเกรดที่นุ่มนวล "Hard Forks" นั้นนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ทำให้เกิดสาย Blockchain ใหม่ และเหรียญใหม่

Bitcoin XT (2015)

เป็นความพยายามครั้งแรกในการเพิ่ม Blocksize Limit โดย Mike Hearn และ Gavin Andresen Bitcoin XT เสนอให้เพิ่ม Blocksize Limit เป็น 8MB แต่ถูกต่อต้านอย่างรุนแรง และไม่ประสบความสำเร็จ

Bitcoin Classic (2016)

เป็นอีกหนึ่งความพยายามในการเพิ่ม Blocksize Limit โดยเสนอให้เพิ่มเป็น 2MB แต่ก็ล้มเหลวเช่นกัน

Bitcoin Unlimited (2016)

เสนอให้ Miners สามารถกำหนด Blocksize Limit ได้เอง แต่มีข้อบกพร่องด้านความปลอดภัย และไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง

Bitcoin Cash (BCH) (2017)

เกิดจากการ Hard Fork ของ Bitcoin โดยกลุ่ม "Big Blockers" ที่ไม่พอใจที่ Bitcoin Core ไม่ยอมเพิ่ม Blocksize Limit Bitcoin Cash เพิ่ม Blocksize Limit เป็น 8MB และมุ่งเน้นที่การเป็น "เงินสดดิจิทัล" ที่ใช้งานได้จริง

Bitcoin SV (BSV) (2018)

เกิดจากการ Hard Fork ของ Bitcoin Cash โดยกลุ่มที่นำโดย Craig Wright ผู้ที่อ้างว่าเป็น Satoshi Nakamoto Bitcoin SV ต้องการเพิ่มขนาด Block อย่างมาก และกลับไปสู่วิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Bitcoin

Bitcoin ABC (2020)

เกิดจากการ Hard Fork ของ Bitcoin Cash โดยกลุ่มนักพัฒนา Bitcoin ABC ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงกลไกการระดมทุน Bitcoin ABC ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น eCash ในภายหลัง

มุมมองที่แตกต่าง Bitcoin ถูก "แย่งชิง" หรือไม่?

หนังสือ "Hijacking Bitcoin" โดย Roger Ver นำเสนอมุมมองที่แตกต่างจาก Bitcoin Maximalists R

Roger Ver เชื่อว่า Bitcoin ถูก "แย่งชิง" โดยกลุ่มนักพัฒนา Bitcoin Core และ Blockstream ที่ต้องการเปลี่ยนแปลง Bitcoin จาก "เงินสดดิจิทัล" ให้กลายเป็น "สินทรัพย์เก็บมูลค่า"

Roger Ver วิพากษ์วิจารณ์ Bitcoin Core ในหลายประเด็น เช่น..

การไม่ยอมเพิ่ม Blocksize Limit

Roger Ver เชื่อว่า Bitcoin Core จงใจจำกัดการเติบโตของ Bitcoin เพื่อผลักดันให้คนใช้งาน Sidechains ของ Blockstream

การเซ็นเซอร์ข้อมูล

Roger Ver กล่าวหาว่า Bitcoin Core เซ็นเซอร์ข้อมูลและปิดกั้นการสนทนาเกี่ยวกับ Big Blocks บนแพลตฟอร์มต่างๆ

การต่อต้านนวัตกรรม

Roger Ver เชื่อว่า Bitcoin Core ต่อต้านนวัตกรรม และไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจทำให้ Bitcoin ดีขึ้น

การควบคุมโดยกลุ่มเล็กๆ

Roger Ver มองว่า Bitcoin Core ถูกควบคุมโดยกลุ่มเล็กๆ ที่ไม่คำนึงถึงความต้องการของชุมชน Bitcoin

Roger Ver สนับสนุน Bitcoin Cash ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็น Bitcoin ที่แท้จริง ที่สืบทอดวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Satoshi Nakamoto

บทสรุป:

การต่อสู้แย่งชิง Bitcoin และการเกิดขึ้นของ Hard Forks ต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการของ Cryptocurrency

มุมมองที่แตกต่าง ความขัดแย้ง และการแข่งขัน ล้วนเป็นแรงผลักดันให้ Bitcoin และ Cryptocurrency อื่นๆ พัฒนาต่อไป

สุดท้ายแล้ว เราคงไม่อาจตัดสินได้ว่าฝ่ายใดคิดถูกและฝ่ายใดผิด

"เสียงของตลาด จะช่วยทำหน้าที่ให้คำตอบนั้นกับเรา ว่าแท้ที่จริงแล้ว ผู้คนกำลังต้องการอะไร..

ลองมองไปที่มูลค่าของแต่ละแนวคิด มองไปที่ Network effect และกำลังการขุด มองไปที่การยอมรับและความเชื่อมั่นของผุ้คน เหล่านี้ล้วนเป็นข้อบ่งชี้ที่เห็นได้ง่าย..

เพราะนั่นคือเสียงแห่งการเพรียกหาอิสรภาพ และ อธิปไตยทางการเงินที่แท้จริง..

— Jakk Goodday

#Siamstr
Author Public Key
npub1mqcwu7muxz3kfvfyfdme47a579t8x0lm3jrjx5yxuf4sknnpe43q7rnz85