Why Nostr? What is Njump?
2024-04-14 06:54:27

Home is always home

เมื่อสมดุลของอุปสงค์อุปทานในตลาดเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ในตลาดเสรีก็มักจะมีผู้ประกอบการบางคนเล็งเห็นถึงความแตกต่างนั้น และมักเลือกจะตอบสนองบางอย่างต่อมันในแนวทางของตัวเอง

และนี่คือเหตุผลว่าทำไมวันนี้คุณจึงตื่นมาเจอบทความยาวๆ ของผมแบบไม่ได้คาดคิดกันมาก่อน (แม้แต่ผมเองก็ไม่ได้คิดไว้เหมือนกัน)

ในวันสงกรานต์แบบนี้สิ่งเดียวที่ผมอยากจะสาดใส่พวกคุณ ก็คือความคิดและความรู้สึกที่คงจะอัดแน่นอยู่ในตัวอักษรทั้งหมดนับจากนี้..

ถึงแม้ว่าผมจะเป็นหนึ่งในคนที่มีบทบาทต่อการเกิดขึ้นของทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณพอจะรู้จักใน community แห่งนี้ ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นจนกระทั่งหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างได้เกิดขึ้น ผมไม่สามารถบรรยายได้ทั้งหมดว่าผมต้องใช้เวลาและแรงกาย ใช้พลังและความคิดมากขนาดไหน

แน่นอนว่าผมคงไม่ใช่คนเดียวที่ทำมัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าผมทุ่มเทให้กับสิ่งต่างๆ เหล่านี้มากมายเหลือเกิน

ผู้ชายคนหนึ่งที่ได้พักผ่อนเพียงวันละ 2-4 ชั่วโมงต่อวันหรือบางวันก็แทบไม่ได้นอนเลยลากยาวเป็นปีๆ จะเหลือพลังมากสักแค่ไหนกับการผลักดันที่นี่ให้ไปต่อ

คำตอบก็อย่างที่เห็น.. ผมหายไปเป็นเวลา 2 เดือนเต็มๆ

ผมก็เพียงแค่นั่งตั้งคำถามกับตัวเองว่าผมจะหยุดตอนนี้เพื่อชาร์จพลังให้ตัวเองกลับมามี passion เต็มๆ หรือผมจะไถต่อแบบที่พลังค่อยๆ ลดน้อยถอยลง

ซึ่งก็ดูเหมือนช้อยส์แรกจะดีต่อทุกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด..


ในเวลาแบบนี้.. พวกเราแต่ละคนมีวิธีในการเติมพลังให้กับตัวเองอย่างไรกันบ้างครับ?

เมื่อคุณพาตัวเองไปอยู่กับบางสิ่งบางอย่างมากจนเกินไป คุณจะเริ่มรู้สึกว่าหลายสิ่งหลายๆ อย่างในชีวิตของคุณมันเริ่มขาดหายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดที่คุณจะเริ่มคิดถึงและโหยหาสิ่งเหล่านั้น

สำหรับผม.. ผมก็น่าจะหมายถึงเรื่องต่างๆ ที่ผมเคยทำ ผมเคยสัมผัสและผมมีความสุข.. ซึ่งผมได้ทิ้งมันไป ผมได้ trade-of เพื่อแลกเอาเวลาและพลังมาทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่พวกเราได้เห็น

ผมก็คงเหมือนคนที่ไม่ได้เลือกแนวทางอย่างพิณสายกลาง แน่นอนว่าผมไม่เคยหย่อนให้กับอะไร.. นั่นแปลว่าทุกๆ อย่างสำหรับผมมันตึงไปหมด ภาวะแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกว่า ตัวผมกำลังโดนแผดเผาอย่างช้าๆ ไม่ต่างอะไรกับกบต้ม

ตัวผมเองมักจะรู้สึกมีคุณค่าเสมอ.. เวลาที่ได้สร้างประโยชน์หรือทำอะไรบางอย่างให้คนอื่นได้รับความพึงพอใจ ผมก็ไม่รู้ว่าผมเป็นคนแบบไหนถึงไม่ค่อยชอบทำอะไรเพื่อตัวเอง แต่กลับมองไปที่ความรู้สึกของคนอื่นและใส่ใจกับพวกมันมากกว่า

แต่เราก็มักจะรู้สึกดีกับคำชมของแค่คนบางคนเท่านั้น.. เรามักจะคาดหวังให้ใครสักคนมอบคุณค่าและ appreciate ในสิ่งที่เราทำ..

ผมคงไม่กล้าเหมารวม แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าผู้ชายส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นแบบนี้.. พวกเขาจะรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันมีคุณค่า พวกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เมื่อคนที่เขารักเห็นค่าในสิ่งที่เขาทำ..

ผมรู้สึกว่าคนเกือบทั้ง community ต่างก็รู้สึกดีกับสิ่งที่ผมทำ.. แต่ตราบใดที่ใครบางคน.. ใครบางกลุ่ม.. กลุ่มที่ผมคาดหวังจะให้เขามองเห็นมัน ไม่ได้แสดงมันออกมา.. ผมก็ยังไม่ได้รับพลังอย่างที่ผมตั้งใจ

ในตอนที่ผมเริ่มถอยออกไป.. ผมไม่ได้เข้าใจในสิ่งเหล่านี้.. แต่หลังจากที่ผมทบทวนสิ่งต่างๆ ทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ผมจึงพบว่ามันก็คงจะเป็นเพราะแบบนี้นี่แหละ

ตามหาคุณค่าในแบบตัวเอง

ผมจะไม่บอกว่าสิ่งที่ผมเลือกนั้นมันเป็นสิ่งที่ดี.. การทิ้งทุกอย่างเอาไว้กลางทางและพาตัวเองออกไปยังสถานที่ใหม่ มันไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีนัก.. แต่ในตอนนั้นผมก็รู้สึกว่ามันจำเป็น

ผมพาตัวเองกลับไปยังบริบทที่ซอฟต์ลง.. ผมหย่อนพิณทุกสาย ผมลดความตึงของมันกลับมาหาตรงกลาง ผมไปอยู่ใน community ใหม่หลายๆ ที่ ออกไปสัมผัสกลุ่มคนใหม่ๆ ที่มีแนวคิดและมุมมองแตกต่างจากพวกเรา

ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายกว่านั้นก็คือ.. ผมอยากรู้ว่าภายนอกห้องแห่งเสียงสะท้อนนี้ (Echo chamber) มันเป็นแบบที่เราคิดกันไปเองหรือเป็นแบบไหนกันแน่..

คนแบบผมไม่ว่าอยู่ตรงไหนมันก็ยังเป็นผมอยู่เสมอ..

ผมพบว่าตัวเองก็ยังพยายามจะไปสร้างบางอย่างในที่แห่งใหม่เหมือนเดิมอยู่ดี ผมมีโอกาสได้ลีดกลุ่มคนหลายพันคน (จะบอกว่าเป็นหมื่นๆ คนก็ได้) ผมพยายามจะสร้าง community ให้กับพวกเขา

แต่การสร้างครั้งนี้มันมีความท้าทายบางอย่าง.. ผมพยายามเอาแนวคิดและหลักการในแบบของเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียน นำเอาปรัชญาเบื้องหลังบิตคอยน์ไปประยุกต์ให้เข้ากับบริบทของ community แห่งใหม่ซึ่งแตกต่างจากพวกเราราวฟ้ากับเหว.. กับกลุ่มคนที่ไม่รู้จักทั้งเฟียตและบิตคอยน์มาก่อนเลย

และมันทำได้.. ผลลัพธ์มันออกมาดีกว่าที่คิดไว้เสียด้วย

มันทำให้ผมค้นพบว่า… ไม่ว่าคุณจะอ่านตำราอะไร ไม่ว่าตำราเล่มนั้นจะถูกเขียนเอาไว้แบบไหน.. คุณจะจำประโยคเด็ดๆ ในนั้นเพื่อเอาไปพูดเท่ๆ ได้บ้างไหม คุณจะจำแนวคิดได้ทุกบรรทัดหรือเปล่า.. สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สำคัญอะไรเลย

สิ่งสำคัญคือคุณสามารถเอามันไปประยุกต์ใช้ได้จริงจนเกิดผลสัมฤทธิ์ได้หรือเปล่า?

คุณสามารถนำความเข้าใจที่ได้จากสิ่งเหล่านั้นไปปรับให้เข้ากับบริบทที่ต่างจากสิ่งที่ตำราเขียนไว้ได้หรือเปล่า เพราะวันที่ตำราถูกเขียนขึ้นกับวันที่คุณทำมันไปใช้ บริบทที่เกี่ยวข้องมันไม่ได้เหมือนกันทั้งหมดอย่างแน่นอน

ทักษะในการสังเกต ทักษะในการวิเคราะห์ การแปลแนวคิดให้เข้ากับคนที่ฟัง การประเมินผลลัพธ์และการปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆไปตามวิวัฒนาการที่เกิดขึ้น แม้กระทั่งการจัดการกับอารมณ์ ฯลฯ มันถูกนำมาใช้ผ่านการบูรณาการร่วมกันในแบบที่ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

ความต้องการในผลประโยชน์ส่วนตน (Self interest) ของคนกลุ่มใหม่ที่ผมต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย มันก็แตกต่างจากพวกเราอย่างสิ้นเชิง ความเข้าใจของพวกเขาต่อบางสิ่งต่างๆ รอบตัวไม่ได้เป็นแบบเรา

ผมคงจะไม่บอกว่าพวกเขากับพวกเราใครดีหรือด้อยกว่ากัน มันก็แค่ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ผมต้องทำก็แค่ต้องยอมรับในความแตกต่างนั้นและพยายามทำความเข้าใจมัน เพื่อที่จะเพิ่ม-ลดหรือมอบบางอย่างที่เป็นประโยชน์ให้กับพวกเขา

สรุปแล้ว.. ถ้าวันนี้ยังมีคนตั้งคำถามกับหลักการและแนวคิดออสเตรียน ถ้ายังมีคนมีข้อสงสัยกับแนวทางการกระจายศูนย์ ว่ามันยังมีประสิทธิภาพกับสังคมในปัจจุบันหรือไม่?

ผมอยากจะถามกลับว่า.. คุณเข้าใจมันมากพอที่จะนำมันไปปรับใช้จริงๆ หรือเปล่า? หรือคุณแค่ท่องจำมันได้?

คนทั่วไปสามารถทำความเข้าใจกับคำว่า low time preference, proof of work, subjective value, single point of failure, decentralized, division of labor, collective outcome, self-interest บลา บลา บลา ได้ทั้งหมดนั่นแหละ

ทั้งที่เราเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก เอาเข้าจริงแล้วมันก็ขึ้นกับว่าวิธีถ่ายทอดของคุณมันเป็นแบบไหนต่างหากล่ะ..

ดังนั้นทั้งหมดทั้งมวลที่ผมค้นพบก็คือ.. ชุดทักษะ, ชุดความคิด, ทัศนคติ, แนวทาง, วิธีการ, ประสบการณ์, วิจารณญาณ และวุฒิภาวะของผู้ถ่ายทอดนั้นสำคัญมาก มากพอๆ กับฝั่งผู้รับ

จากในอดีตที่บางครั้งเราก็มองว่าความพร้อมของผู้ฟังนั้นสำคัญมากต่อการถ่ายทอดแนวคิดของพวกเรา.. วันนี้ผมพบว่า.. เราอาจต้องลองกลับมามองดูตัวเราเอง..

คนสอนน่ะพร้อมหรือยัง?

สอน สร้าง จัดการปัญหา และส่งต่อ

เรื่องเล่าทั้งหมดอาจจะฟังดูดี.. แต่ชีวิตคนเรามันไม่ได้ง่ายแบบนั้นเสมอไป ในเรื่องดีๆมันก็มุกจะมีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นปะปนกันไป ก็เพื่อให้เราได้เรียนรู้ เข้าใจและเติบโต

ในระหว่างทางของการสร้าง community แห่งใหม่ มันไม่ได้สวยหรูไปเสียทั้งหมด มันเกิดปัญหามากมายให้ผมต้องคิดและจัดการผ่านระบบกระจายศูนย์และทีมเสรีที่ผมสร้างขึ้น

ความวุ่นวายก็คืองานของผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

ผมแค่รู้สึกว่า.. ผมสามารถเลือกได้ที่จะจัดการหรือเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านั้น เพื่อทำให้เวลาทั้งหมดที่ผมเสียสละไปกับที่นั่นหายไปในอากาศโดยไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย.. ผมไม่ได้กำลังพูดถึงเงินหรือผลตอบแทนในลักษณะที่เป็นรูปธรรม

แต่มันคือคุณค่าในเชิงนามธรรม

การจัดการกับความวุ่นวายในระหว่างทางที่เกิดขึ้นช่วยให้ผมได้นำเอาทักษะและความเข้าใจที่มีอยู่เดิมไปทดลองใช้ มันช่วยผมพัฒนาความคิดและอารมณ์ของตัวเองมากขึ้น

บางครั้งผมก็หลุดเข้าไปในภวังค์แห่งความลุ่มหลง บางสถานการณ์ก็ทำให้ผมสูญเสียตัวตนที่เคยมี บางเหตุการณ์ผมก็พบว่าตัวเองตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้นเหมือนไม่ใช่คนเดิม

แต่แทนที่ผมจะนั่งงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น.. ผมนำมันกลับมาคิดไตร่ตรองและทบทวนอย่างละเมียดละมัย แล้วพยายามทำความเข้าใจตัวเองในฐานะคน อะไรทำให้ผมเป็นแบบนั้น ผมรู้สึกอะไรอยู่ถึงตอบสนองไปแบบนั้น บทเรียนที่ผมได้จากสิ่งเหล่านี้คืออะไร?

การตระหนักรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ผมค้นพบคุณค่าในตัวผมเอง.. ทำให้ผมรู้ว่าตัวผมเองนั้นเป็นใคร ผมทำหรือทำอะไรไม่ได้บ้าง ผมยังขาดอะไรถึงไม่สามารถทำบางอย่างได้ ผมค่อยๆ ฟื้น passion ที่เคยมีกลับมาได้เรื่อยๆ และเรื่อยๆ

การค้นพบสิ่งที่ผมยังไม่รู้ ช่วยทำให้ผมรู้ว่าพรุ่งนี้ผมควรทำอะไร สิ่งนี้มีค่าและมีความหมายมากๆ ต่อตัวผม..

รู้ว่าเรายังไม่รู้อะไร..

รู้ว่าจริงๆ แล้วเราไม่ควรรู้อะไร

ทันทีที่ผมรู้.. มันทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่ามันถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องกลับบ้าน.. ผมได้คำตอบบางอย่างที่ผมเคยต้องเสียเวลางมหามาอย่างยาวนาน.. มันเกิดแนวคิดใหม่ๆ มากมายในหัวผมซึ่งจะเป็นประโยชน์กับคนที่บ้านได้อย่างแน่นอน

ใช่ครับ.. ผมคิดถึงบ้าน

ให้ตายเถอะ.. ผมกำลังจะทิ้งที่แห่งหนึ่งที่ผมได้โผล่ตัวเองเอาไว้อย่างเหนียวแน่นกลับไปหาอีกที่หนึ่งอีกแล้วงั้นหรอ?

แล้วถ้าผมกำลังรู้สึกว่าตัวเองโดนผูกเอาไว้.. มันแปลว่าผมยังไม่สามารถกระจายบางอย่างออกจากตัวเองได้ทั้งหมดหรือเปล่า?

ถ้าผมไม่สามารถเป็นอิสระจากที่ไหนสักที่ได้.. มันแปลว่าผมยังไม่สามารถสร้าง decentralized network อย่างแท้จริงขึ้นได้ใช่ไหม?

โจทย์นี้ช่วยให้ผมค้นพบว่าแท้จริงแล้วตามบทบาทที่ผมกำลังเป็นอยู่นั้นผมควรจะสร้าง, จัดการ, แก้ไขหรือทำอะไรกันแน่?

ผมจะต้องส่งต่อสิ่งต่างๆ ที่ได้เริ่มเอาไว้ จนผมรู้สึกได้ว่าหากไม่มีผมที่แห่งนั้นก็จะไม่มีวันเหี่ยวตายไป..

ถ้าไม่บอกว่าความเข้าใจนี้เกิดมาจากปรัชญาเบื้องหลังบิตคอยต์ เราจะบอกว่ามันเป็นอะไรได้อีกล่ะ?

บ้านก็คือบ้าน

2 เดือนที่ผมหายไปทำเรื่องใหม่ๆ ไปจัดการกับอาการป่วยของตัวเอง ไปสะสางปัญหาของตัวเอง ผมก็รู้สึกคิดถึงผู้คน, บรรยากาศและความรู้สึกเดิมๆ ที่เคยสัมผัสจากบ้านหลังนี้เสมอ

ผมต้องบอกไหมว่า “บ้าน” ที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้คือที่ไหน?

ไม่มีใครตั้งคำถามว่าผมหายไปไหน ไม่มีใครตัดพ้อแม้จะถูกผมทิ้งเอาไว้กลางทาง ไม่มีใครพยายามจะเอาคำตอบจากการตัดสินใจของผม.. ผมสัมผัสได้เพียงแค่ความคิดถึงและความห่วงใย มันพุ่งตรงเข้ามาทัชที่หัวใจของผม มันเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่าผู้คนที่บ้านรักผมขนาดไหน

ผมแวะเวียนกลับมาแบบลับๆ เพื่อพูดคุย ได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกกับคนในบ้านเป็นครั้งคราว บ้านที่ครั้งหนึ่งผมรู้สึกว่ามันเริ่มสูบพลังไปจากผม แล้วผมก็คิดผิดไปถนัด.. เพราะการกลับมาเยี่ยมเยือนแต่ละครั้ง.. ผมรู้สึกเหมือนกำลังได้รับพลังบวกบางอย่าง

ที่นี่แหละคือ safe zone ของผม

ไม่ว่าคนที่นี่จะสนทนาลงลึกในเรื่องต่างๆ กันอย่างบ้าบอคอแตก ไม่ว่าคนที่นี่แทบจะไม่ผ่อนคลายให้กับเรื่องใดๆ เลย แต่ทำไมผมกลับรู้สึกสนุก มีความสุข ที่ได้ยินน้ำเสียง รับฟังความคิด และสัมผัสสิ่งเหล่านั้น..

ต่อให้สิ่งต่างๆ ที่กำลังอบอวลรอบตัวจะไม่สามารถแทรกเข้ามาในหัวผมได้ทั้งหมด ต่อให้ในตอนนี้สมองผมยังไม่พร้อมจะรับเรื่องหนักๆ แต่ผมก็รู้สึกดีที่ได้พาตัวเองกลับมาอยู่ที่นี่ ได้เอนหลังลงบนฟูกที่เคยนอน ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วที่คุ้นหู และยังคงเห็นความหวังที่เราต่างก็เคยมีร่วมกัน

พวกเขาที่นี่ยังคงต้อนรับผมเสมอไม่ว่าผมจะทำอะไรลงไป

ผมจะสามารถพูดอะไรได้อีกนอกจากคำว่า..

ผมรักพวกคุณทุกคน.. จริงๆ นะ

ปัญหาของคนที่จากบ้านไปนาน.. คุณก็คงจะพอนึกออกว่าคืออะไร.. สิ่งที่กำลังรบกวนจิตใจผมตอนนี้ก็คือ.. ชิบหายแล้วคนในบ้านกูไปถึงไหนกันแล้ววะ? ตอนนี้ผมรู้สึกว่าจับต้นชนปลายไม่ถูก ผมแทบไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่นี่ น้องๆ ของผมทำอะไรกันไปแล้วบ้าง ผมควรจะเริ่มตรงไหน?

มันคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เพราะผมก็คงจะเอาแต่ถามและฟัง ถามและฟัง ถามและฟังวนไปแบบนี้ จนกว่าผมจะรู้สึกว่าผมเริ่มตามทุกคนทันแล้ว

ดูบางทีผมอาจจะแค่ช่างแม่งมัน.. กระโดดขึ้นเรือแล้วจอยไปกับมันเลย

เรือที่จะพาผมไปเจอกับทุกคนในวันที่ 20 เมษายนที่กำลังจะถึงนี้.. คุณอาจจะไม่ได้เจอกับผมในแบบที่คุณเคยรู้จัก เพราะช่วงที่ผ่านมามันก็มีหลายอย่างที่เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวผม ทำบุคลิกและความคิด แม้กระทั่งความหล่อ..

ผมอาจไม่เท่ในแบบที่พวกคุณรู้สึกอีกแล้ว.. แต่ผมก็กล้ายืนยันว่าผมยังเป็นคนเดิม

คนที่เคยยืนอยู่ข้างหน้าเพื่อรับตีนแทนพวกคุณเสมอ คนที่เคยตกรถทุกครั้งที่เมา คนที่พูดน้ำไหลไฟดับจนต้องมีคนเบรค และทุกครั้งที่หัวเราะเขาก็ยังฟันหลอเหมือนเดิม..

พวกคุณยังอยากเจอเขาอยู่ไหม?

ผมยังเป็นคนที่พวกคุณอยากเจออยู่ไหม?

ผมจะไปรอเอาคำตอบนั้นที่ชิตโฮลเมืองทอง..

และก็เหมือนเช่นเคย.. ไม่ว่าผมจะเขียนมายืดยาวสักแค่ไหน เวลาจบผมก็จบกันแบบดื้อๆ อย่างนี้แหละ

และผมก็มักจะถามคำถามเดิมๆ กับคนอ่าน คุณได้อะไรกันบ้างจากการอ่านบทความนี้?

image

End credit

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าหลังจากที่ไม่เจอพี่ตั้มมาเป็นเวลานาน พี่ตั้มจะกลับมาพร้อมบทเพลงและเสียงกีต้าร์เพราะๆ”

เสียงพี่เจนโพล่งขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ

“ก็เพราะผมคือ Jakk Goodday..”

“ผมเคยทำอะไรให้ใครคาดเดาได้ง่ายๆ ด้วยเหรอพี่?”

เอ… หรือว่าที่งานฮาล์ฟวิ่งพวกเราจะมาร้องเพลงกันดีนะ?

Author Public Key
npub1mqcwu7muxz3kfvfyfdme47a579t8x0lm3jrjx5yxuf4sknnpe43q7rnz85