Why Nostr? What is Njump?
2024-04-27 06:33:27

Jakk Goodday on Nostr: #siamstr ...

#siamstr ใครเกิดทันโซเชียลมีเดียยุคนี้มั่งครับ?


อ่านที่ | https://yakihonne.com/article/[email protected]/dqas-6c9l9zXyEuV8vJzZ

มีใครเกิดท่านได้เห็นอะไรแบบนี้บ้างไหมครับ?

image

คุณเคยสัมผัสกับการสื่อสารแบบเรียบง่ายที่แทบไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีเลยบ้างไหม?

เช่น การขีดเขียนลงบนต้นยูคาลิปตัสหรือตามผนังสังกะสี กิจกรรมเหล่านี้เผยให้เห็นถึงความปรารถนาอันแท้จริงของมนุษย์ที่จะทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ในโลกใบนี้ ผมเคยเป็นหนึ่งในคนที่หลงใหลในการใช้เครื่องมือง่ายๆ เช่น ปากกาเมจิกสำหรับเขียนบนประตูห้องน้ำตามปั๊มน้ำมันเพื่อฝากเรื่องราวเอาไว้ ไม่นานมานี้ผมตระหนักได้ว่าการกระทำเหล่านี้คือรูปแบบของการสื่อสารสาธารณะ หรือที่เรียกว่า “Social media communication” ในยุคปัจจุบัน

ความปรารถนาในการสร้างแพลตฟอร์มสื่อสารของตัวเองนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มันเป็นสัญชาตญาณที่ฝังรากลึกในมนุษย์มาตั้งแต่สมัยการขีดเขียนผนังถ้ำ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เรามีความต้องการแบ่งปันความคิดและข้อมูลมาอย่างต่อเนื่อง

กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการทิ้งข้อความเอาไว้ให้คนอื่นพบเห็นเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการกระทำส่วนบุคคลที่มาจากการตัดสินใจเอง ไม่ผ่านการวางแผนจากศูนย์กลาง มันเป็นการแสดงความคิดสร้างสรรค์และการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นอิสระ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของกระบวนการตลาดที่ให้อิสระแก่บุคคลในการแสดงออกและปรับตัวตามเป้าหมายส่วนตัว

การขีดเขียนลงบนต้นไม้และผนังถ้ำในอดีต จึงไม่ต่างอะไรจากการโพสต์ข้อความหรืออัปเดตสถานะบนโซเชียลมีเดียในยุคนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นการสื่อสารที่มีชีวิตชีวาและมีพลัง ผ่านยุคสมัยและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการสื่อสารที่ไม่เคยหายไปจากหัวใจของเรา

มนุษย์เรามีความต้องการที่จะถ่ายทอดความคิดและฝากความรู้สึกไว้ให้กับโลกนับตั้งแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็นการขีดเขียนลงบนต้นไม้หรือการฝากข้อความไว้ใต้หลังคาสังกะสี ความปรารถนาเหล่านี้ได้ก้าวไปสู่รูปแบบดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพและขอบเขตที่กว้างขึ้น ทำให้เราสามารถสื่อสารข้ามพรมแดนไปทั่วทุกมุมโลกได้อย่างไม่มีขีดจำกัด นวัตกรรมและการปรับตัวนี้คือลายเซ็นที่ชัดเจนของการก้าวหน้าในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากการตัดสินใจและการกระทำของบุคคลแต่ละคนที่ต้องการจะทิ้งรอยทรงจำไว้ในโลก

การทิ้งข้อความในที่สาธารณะนั้น.. เกิดจากเหตุผลหลากหลายซึ่งซับซ้อนและลึกซึ้งกว่าแค่การสื่อสารแบบตัวต่อตัว บางครั้งมันอาจเกี่ยวข้องกับความต้องการที่จะเผยแพร่ความคิดหรือข้อความไปยังกลุ่มคนที่กว้างขึ้น หรืออาจเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับคนรุ่นต่อไป ในทางหนึ่ง.. มันอาจเป็นเพียงการฝากความทรงจำส่วนตัวเท่านั้น (เราจะวางเรื่องความมือบอน ศีลธรรม และการรักษาความสะอาดไว้ก่อนนะครับ)

image

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความปรารถนาในการเชื่อมต่อกับชุมชนหรือการสร้างความเป็นเอกภาพ มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคมที่ต้องการจะแบ่งปันและประสานงานกับผู้อื่นในชุมชน เราไม่เพียงแต่สื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล แต่ยังสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่หลากหลายและยั่งยืนผ่านการขีดเขียนหรือการส่งข้อความสาธารณะ

นอกจากนี้.. การกระทำเหล่านี้ยังเป็นการสะท้อนถึงความปรารถนาที่จะถูกจดจำหรือความเป็นอมตะของเรา เป็นการยืนยันว่าการกระทำของเราจะยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้คนนานหลังจากที่เราจากไป และเป็นการแสดงออกถึงตัวตนและการมีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์ ด้วยการสลักชื่อและวันที่บนต้นไม้ เราทิ้งร่องรอยแห่งการมีอยู่ที่ไม่เพียงแต่ตัวเราเท่านั้นที่ระลึกถึง แต่สำหรับทุกคนที่เดินผ่านไปมาในยุคสมัยนั้นและต่อไป

เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย.. มันเป็นเสมือนการระเบิดของความปรารถนาที่เรามีมาตั้งแต่อดีตในรูปแบบใหม่ๆ แพลตฟอร์มออนไลน์ทำให้เราสามารถเผยแพร่เรื่องราวและประสบการณ์ของตัวเองไปยังผู้ชมที่กว้างขึ้นได้อย่างไม่รู้จบ ด้วยการเข้าถึงและการกระจายข่าวสารที่รวดเร็วและง่ายดายยิ่งขึ้น การแชร์ข้อมูลในทันทีและการเชื่อมต่อกับผู้คนทั่วโลกได้อย่างไม่มีพรมแดน ทำให้โซเชียลมีเดียกลายเป็นอีกหนึ่งมิติของการสื่อสารที่ไม่เพียงแต่เฟื่องฟู แต่ยังก่อให้เกิดชุมชนออนไลน์ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมในสังคมสมัยใหม่

image


ความต่าง

แต่เมื่อพิจารณาถึงการสื่อสารแบบสาธารณะในอดีตและปัจจุบัน มีความแตกต่างกันอย่างมาก การขีดเขียนบนต้นไม้ในอดีตนับเป็นการสื่อสารแบบกระจายศูนย์อย่างแท้จริง ทุกคนสามารถเพิ่มข้อความของตัวเองได้อย่างอิสระ ส่วนแพลตฟอร์มออนไลน์ในปัจจุบันนั้นถูกรวบรวมและควบคุมอย่างเข้มงวด ด้วยกฎเกณฑ์และอัลกอริทึมที่กำหนดว่าข้อความใดจะถูกเผยแพร่หรือถูกซ่อนไว้จากสายตาของผู้ใช้จำนวนมาก

พื้นที่ดิจิทัลมีอำนาจในการควบคุมเนื้อหาที่จะถูกแชร์และเผยแพร่ สามารถลบหรือบล็อกเนื้อหาที่ไม่เป็นไปตามนโยบายหรือกฎหมาย ซึ่งแน่นอนว่าต้นยูคาลิปตัสและสถานที่สาธารณะในอดีตไม่สามารถทำได้ ความเป็นส่วนตัวและอิสรภาพในการแสดงออกถูกตั้งคำถามในโลกโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีการกำหนดกฎเกณฑ์และมารยาททางสังคมใหม่ๆ ที่จำกัดการปฏิบัติตามนโยบายการใช้งานและการแสดงออก

การขีดเขียนตามธรรมชาติไม่ได้มีการระบุตัวตนอย่างชัดเจน แต่ในโลกออนไลน์ ข้อมูลส่วนบุคคลและตัวตนสามารถถูกติดตามและบันทึกไว้อย่างละเอียด ความเป็นส่วนตัวในโลกดิจิทัลจึงเป็นเรื่องที่น้อยลงอย่างชัดเจน แม้แพลตฟอร์มเหล่านี้จะพยายามให้เครื่องมือในการควบคุมความเป็นส่วนตัวก็ตาม

การสื่อสารสาธารณะในอดีตมักเปิดเผยและทำให้เกิดวัฒนธรรมแห่งการแบ่งปันอย่างออแกนิค ทว่าเมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย การเชื่อมต่อกันกลายเป็นเรื่องรวดเร็วและขยายขอบเขตไปทั่วโลก แต่ก็อาจนำไปสู่ปัญหาของ echo chambers และการแพร่กระจายข้อมูลที่ผิดเพี้ยนได้

การสื่อสารในโลกปัจจุบันถูกควบคุมด้วยกฎเกณฑ์และอัลกอริทึมอย่างชัดเจน นำไปสู่การสร้างเครือข่ายสังคมที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเสรีภาพในการแสดงออกก็ต้องอยู่ภายใต้กรอบที่แพลตฟอร์มกำหนดไว้ ผู้ใช้งานจำเป็นต้องหาจุดสมดุลระหว่างการปกป้องความเป็นส่วนตัวและการใช้เสรีภาพทางดิจิทัลอย่างมีความรับผิดชอบ

image


ความเปลี่ยนแปลง

มาติดตามกันดูว่าการสื่อสารทางสังคมสาธารณะได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ในยุคกลาง, การใช้กระดาษและการเขียนจดหมายเริ่มเป็นที่นิยม แม้จะมีการสื่อสารตรงไปยังบุคคลที่ต้องการ แต่ก็ยังคงมีโอกาสในการเปิดเผยและส่งต่อข้อมูลได้ นอกจากนี้กระดาษยังถูกใช้เป็นป้ายประกาศข่าวสาร แต่บางครั้งก็ถูกควบคุมเนื้อหาโดยเจ้าของพื้นที่ หนังสือพิมพ์และนิตยสารในภายหลังได้นำการกระจายข่าวสารและความคิดเห็นไปสู่ผู้อ่านจำนวนมาก การเผยแพร่ข้อมูลถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยบรรณาธิการและสำนักพิมพ์

เมื่อเข้าสู่ยุคของวิทยุและโทรทัศน์ การสื่อสารมวลชนได้ถูกปฏิวัติ ข้อมูลและความบันเทิงสามารถส่งถึงมือผู้ชมและผู้ฟังได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐและผู้ผลิตเนื้อหา

image

เมื่อโลกของเราถูกแนะนำให้รู้จักกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในทศวรรษที่ 90 เราได้พบกับการปฏิวัติวิธีการสื่อสารผ่านห้องสนทนาและฟอรั่มออนไลน์ ที่นี่คือที่แห่งการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลโดยไม่มีข้อจำกัด โดยมีการดูแลจากผู้ดำเนินระบบและนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่คอยอำนวยความสะดวกเพื่อให้แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำงานได้อย่างราบรื่น

ในที่สุด อิสรภาพในการสื่อสารและการแสดงออกของมนุษย์ก็เริ่มถูกจำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านทางกาลเวลา จนกระทั่งมันดูเหมือนจะสูญเสียไปในยุคปัจจุบัน ทำให้เราต้องพิจารณาและตั้งคำถามถึงค่านิยมและผลกระทบที่เกิดจากการควบคุมเหล่านี้ต่อสังคมในอนาคต

เมื่อโลกเราก้าวเข้าสู่ยุคอินเทอร์เน็ตในทศวรรษที่ 90 เราได้พบกับปรากฏการณ์ใหม่ในการสื่อสาร เริ่มจากห้องสนทนาออนไลน์และฟอรั่ม ซึ่งในยุคนั้น IRC (Internet Relay Chat) นับเป็นการเริ่มต้นการพูดคุยออนไลน์อย่างอิสระที่สุด ผู้ที่ได้สัมผัสก็คงต้องมีอายุไม่น้อยเลยทีเดียว..

การปรากฏตัวของฟอรั่มออนไลน์เช่น Usenet และ Bulletin Board System (BBS) ได้เปิดโอกาสให้ผู้คนจากทั่วทุกหนแห่งรวมตัวกันและแลกเปลี่ยนข้อมูลในหัวข้อที่หลากหลาย ซึ่งต่อมาได้นำไปสู่การเกิดขึ้นของบล็อก อย่างเช่น Blogger ที่ให้โอกาสทุกคนเผยแพร่ความคิดและเรื่องราวของตนได้อย่างอิสระ บล็อกและวิกิพีเดียได้นำเสนอเสรีภาพที่ไม่เคยมีมาก่อนในการเผยแพร่และแก้ไขเนื้อหาที่สามารถช่วยเหลือสาธารณะได้ มันเป็นการเปิดโอกาสใหม่ที่ทุกคนจะสามารถเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับข้อมูล

MSN Messenger ที่เปิดตัวในปี 1999 และเป็นหนึ่งในบริการแชทเรียลไทม์แรกๆ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในยุคแรกของอินเทอร์เน็ต ด้วยความสามารถในการสื่อสารทันที การส่งไฟล์ และฟีเจอร์การสนทนาด้วยเสียงและวิดีโอ

image

ในช่วงต่อมา.. เว็บบอร์ดได้เข้ามาช่วยทำให้การสนทนาบนฟอรั่มเป็นเรื่องง่ายขึ้น และได้มีการจัดการเนื้อหาที่ดียิ่งขึ้น จากนั้นก็เป็นการปรากฏตัวของ Frienster, MySpace และ Hi5 ในต้นยุค 2000 ซึ่งเป็นสื่อสังคมออนไลน์แรกๆ ที่เปลี่ยนแปลงวิธีการติดต่อสื่อสารและการแบ่งปันเนื้อหาของเราไปอย่างสิ้นเชิง

image

ในปี 2004, Facebook ได้ถือกำเนิดขึ้น และได้เริ่มต้นจากการเป็นเครือข่ายสังคมของนักศึกษามหาวิทยาลัยก่อนที่จะเปิดตัวให้สาธารณชนเข้าถึงในปี 2006 ในปีเดียวกันนั้น Twitter ก็เกิดขึ้น ให้โอกาสผู้คน “ทวีต” ข้อความสั้นๆ และแบ่งปันข้อมูลกันอย่างรวดเร็ว (ตามด้วย Instagram, Snapchat, LINE, WeChat และ TikTok ฯลฯ ที่ปรากฏตัวต่อมา) แพลตฟอร์มเหล่านี้ได้มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราสร้างชุมชนและเครือข่ายสังคม และไม่เพียงแค่นั้น มันยังได้ช่วยให้การบำรุงรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นด้วย ชุมชนเหล่านี้ได้เติบโตขึ้นอย่างอิสระโดยไม่มีการกำหนดจากรัฐ (โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มที่ไม่ถูกควบคุมเช่น Nostr ซึ่งอาจจะไม่ได้ถูกกล่าวถึงในบทความนี้)

การเข้าสู่ยุคโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Facebook ได้กำหนดบทบาทหลักในการก่อร่างสร้างเครือข่ายสังคมใหม่ ซึ่งนอกจากจะทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นไปอย่างสะดวกสบายแล้ว ยังมาพร้อมกับการควบคุมอย่างเข้มงวดเกี่ยวกับเนื้อหาและข้อมูลส่วนบุคคลที่มีผลกระทบอย่างมากต่อสิทธิส่วนบุคคลและเสรีภาพในการแสดงออก

การก้าวข้ามจากการสื่อสารตามธรรมชาติและกระดาษป้ายประกาศไปสู่วิวัฒนาการทางเทคโนโลยี ทำให้เราเข้าสู่โลกใหม่ที่การควบคุมข้อมูลและการสื่อสารถูกบริหารจัดการโดยผู้มีอำนาจทางเทคโนโลยี เกือบทุกการสื่อสารในปัจจุบันถูกจำกัดและดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มกลางที่มีกฎระเบียบและนโยบายการใช้งานที่ชัดเจน

image


ความกังวล

ในตลาดที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องปรับปรุงบริการและสินค้าของตนเพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังของลูกค้าที่เปลี่ยนไป นี่คือการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของเราในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน (ก่อนจะมาถึงยุคที่แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงกำลังพยายามจะสนตะพายและจูงจมูกลูกค้าในยุคปัจจุบัน)

การพัฒนาของการสื่อสารดิจิทัลไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคมเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิธีที่เรามองและรับรู้โลกรอบตัวเรา มันสร้างความคาดหวังใหม่ๆ และขยายโอกาสให้เรามีส่วนร่วมกับชุมชนของเรามากขึ้น

อย่างไรก็ตาม.. อำนาจของแพลตฟอร์มใหญ่ๆ กำลังมีผลกระทบที่ลึกซึ้งต่อสังคมสมัยใหม่ สร้างความกังวลที่ไม่คาดคิดต่อผู้ใช้และประชากรโลก เหล่าแพลตฟอร์มใหญ่เหล่านี้สามารถควบคุมกระแสข้อมูลที่ผู้ใช้จะเห็นได้ ทำให้เกิดการกรองข้อมูลหรือนำเสนอข้อมูลที่มีอคติ ประเด็นนี้มีผลให้เกิดการบิดเบือนความจริงและข้อมูลที่ถูกนำเสนอ

เรายังเห็นการสร้าง ‘Echo chamber’ และ ‘Filter Bubbles’ โดยปรับเนื้อหาให้ตรงกับความชอบและพฤติกรรมของผู้ใช้ ซึ่งส่งผลให้ผู้คนมองเห็นเฉพาะข้อมูลที่พวกเขาพร้อมจะเห็นด้วยเท่านั้น นำไปสู่ความคิดที่ไม่หลากหลายและการแบ่งแยกความคิด มีการเสพติดแพลตฟอร์มอันเกิดจากอัลกอริทึมที่ออกแบบมาให้ผู้ใช้ใช้เวลาอยู่บนแพลตฟอร์มมากที่สุด ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมเสพติดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตและร่างกาย

การละเมิดความเป็นส่วนตัวจากการเก็บรวมข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่มีขอบเขตที่ชัดเจน ส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและการใช้ข้อมูลในทางที่ไม่เหมาะสม

นอกจากนี้ บริษัทใหญ่ๆ สามารถกลายเป็นผู้ผูกขาดการเข้าถึงและการกระจายข้อมูล จำกัดการแข่งขันและการเกิดขึ้นของนวัตกรรม และยังไปมีอิทธิพลต่อกระบวนการทางการเมืองและสังคม พวกเขาสามารถกำหนดมาตรฐานว่าอะไรจะเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในสังคม

ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือการส่งเสริมการแพร่กระจายของเนื้อหาที่เป็นพิษ (Toxic Content Promotion) ที่มักเป็นเหตุผลเบื้องหลังการสร้างการมีส่วนร่วมและการตอบสนองจากผู้ใช้มากขึ้น นับเป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบต่อผู้คนและสังคมอย่างร้ายแรง

image


ในยุคที่ก้อนหินและผนังถ้ำเคยทำหน้าที่เป็นหน้ากระดาษของข้อความลึกลับและความคิดถึง วันเวลาได้พาเราเดินทางมายังการสื่อสารที่แทบไม่ต้องใช้มือสัมผัสหรือขีดเขียน จักรวาลดิจิตอลที่สามารถพิมพ์ความคิดออกมาได้เร็วกว่าที่ใจจะรู้สึก

แต่ในความก้าวหน้านั้น เงามืดของเทคโนโลยีก็คอยปกคลุมไม่ให้เรามองเห็นแสงสว่าง มือของผู้ทรงอำนาจได้แผ่กว้างถึงขนาดที่แทบจะประกาศว่า “I embody communication” (ฉันนี่แหละคือพ่อแห่งการสื่อสาร) พร้อมกับควบคุมข้อมูลที่เราเข้าถึงได้และเสียงที่เราจะได้ยิน นำมาซึ่งเสียงสะท้อนเพี้ยนๆ ที่ดังก้องไปตามกำแพงของอาณาจักรข้อมูลที่พวกเขาได้ตั้งไว้

เรากำลังยืนอยู่ ณ ทางแยกที่ต้องตัดสินใจว่าจะยอมให้กระแสแห่งการควบคุมนี้พัดพาเราไปตามทางได้อย่างง่ายดายหรือจะยืนหยัดเพื่อคุณค่าแห่งการสื่อสารที่เป็นรากฐานของมนุษยชาติ

การที่ข้อมูลสามารถเปลี่ยนสภาพเป็นของขวัญหรืออาวุธได้นั้น เราจำเป็นจะต้องใช้สติปัญญาและความรับผิดชอบในการพิจารณา การสื่อสารแบบเปิดที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงการเขียนลงบนต้นไม้หรือฝากข้อความลับไว้ใต้หลังคา ตอนนี้มันได้ถูกแปลงโฉมให้กลายเป็นการสลักข้อความลงบนหน้าประวัติศาสตร์ดิจิทัลที่สามารถถูกลบหายได้ด้วยแค่คลิกเดียว

ในการเดินทางข้ามเวลานี้.. ขอให้เรายึดมั่นในการค้นหาความสมดุลระหว่างการเปิดรับและการป้องกัน, ระหว่างเสรีภาพและความรับผิดชอบ ให้เราจำเอาไว้ว่าเราทุกคนคือผู้กำหนดอนาคตของข้อมูลที่เราเลือกที่จะส่งผ่านและปลูกฝัง เพราะท้ายที่สุดสิ่งที่เราเลือกที่จะแบ่งปันในโลกออนไลน์นี้จะกลายเป็นเส้นใยที่ถักทอเรื่องราวและอนาคตของมนุษยชาติต่อไป

Author Public Key
npub1mqcwu7muxz3kfvfyfdme47a579t8x0lm3jrjx5yxuf4sknnpe43q7rnz85