Why Nostr? What is Njump?
2023-10-13 01:45:07
in reply to

Panai Lawasut on Nostr: nostr:note18hkcfyurhxue8en9dyz99sczrwp4s9f85jj0h3s8ccqnw38t760sg6yzqa ...

ถ้าผมแบ่งชิวิตเป็นแค่2ช่วง ก็คงจะเป็น
ก่อนบิทคอยกะหลังบิทคอย

ชีวิตตั้งแต่เด็กมาผมเป็นผลผลิตของระบบอย่างแท้จริง ถ้าตั้งใจเรียนคือดี ถ้าสอบได้อันดับดีคือดี ถ้าเข้ามหาลัยดังได้คือดี ถ้าทำอาชีพที่คนนับถือได้คือดี

ทั้งๆที่ตัวผมเองมีความชอบของตัวเองที่ชัดเจนตั้งกะเด็ก ชอบเล่นกีฬา ชอบเล่นดนตรี ชอบทำงานศิลปะ (มันควรจะเอาเวลาไปสร้างPOW ที่ตัวเองถนัดมั้ย)

เราอยู่ในระบบกันมาตลอด ส่วนหนึ่งก็เพราะสังคมจริงแหละ แต่อีกส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเรารู้สึกว่ามันง่ายกว่า มันไม่เสี่ยง
จริงๆถ้าที่บ้านsupportไหว ผมคงหาทางเรียน ป.โท ป.เอก อย่างที่เพื่อนๆเค้าทำกัน มันง่ายกว่า
มันดูดี และมันยังไม่ต้องรีบรับผิดชอบตัวเองด้วย

แต่ก็นั้นแหละ พอเริ่มทำงานถึงรู้ความจริงว่า “เข้เอ๊ย ทำไมชีวิตมันยากขนาดนี้วะ!”
เรื่องนี่คงไม่ต้องเล่า คิดว่าทุกคนเจอกันหมด

มาหนักจัดๆตอนทนไม่ไหวกับชีวิตแบบพนักงานประจำ (ก็ระบบมันสร้างไว้ให้ทำงานประจำ ออกมากันก็ยากเซ่!!)
ผมออกมาทำหลายอย่างมากเลย ขายประกัน ขายรองเท้ามือสอง ขายเสื้อผ้าเด็ก รายได้มากกว่าตอนกินเงินเดือน2เท่า แต่ไม่เคยมีเดือนไหนชนเดือนเลย

วันที่ทำให้ผมตัดสินใจกลับบ้าน คือลูกสาวไม่สบาย ตัวร้อนมาก แล้วไม่มีเงินพาไปหาหมอ ไม่มีจริงๆ คือเก็บเศษเหรียญซื้อข้าวกินมาหลายมื้อแล้ว ได้แต่นั่งมองหน้าแฟนกับลูกสาวที่ร้องไห้ตลอดเวลาอยู่อย่างนั้น โชคดีไปเจอกระปุกเหรียญของพี่ชายแฟน นับเหรียญได้มา 4-500 แล้วเอาไปหาหมอ

ณ จุดนั้นในหัวโคตร fuck up เลย คิดกะตัวเองตลอดว่า กุทำอะไรอยู่วะเนี่ยๆๆๆๆๆ

หอบลูกกะเมียกลับมาบ้าน ร้านที่ที่บ้านทำก็ไม่ใช่จะเลี้ยงตัวเองได้อยู่แล้ว เรายังมาเพิ่มค่าใช้จ่ายเข้าไปอีก
โชคดีที่กิจการขยับขยายไปได้ 2สาขา 3สาขา

งงใช่ไหม แล้วบิทคอย มันเกี่ยวอะไรวะ

เชื่อไหมว่าตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำงาน จนถึงก่อนรู้จักบิทคอย แม้ว่าจะมีรายได้พอสมควรแล้วก็ไม่มีตอนวันไหนเลยที่รู้สึกว่าสบายใจ ปลอดภัยแล้ว

มันยังมีความกังวลตลอดเวลา ภาพวันที่นั่งมองหน้าแฟนกับลูกสาวที่ไม่สบายวันนั้นมันอยู่ในหัวผมอยู่ตลอด กลัวมากที่จะกลับไปเป็นแบบนั้นอีก

ถ้าวันนึงอยู่ดีๆก็ไม่มีคนมาซื้อขนมเราล่ะ ถ้าเดือนหน้ามันขายไม่ดีเท่าเดือนนี้ล่ะ ถ้าสาขาที่กำลังจะเปิดมันขายไม่ได้ล่ะ ทำเลตรงนี้มันจะขายได้มั้ย มันไม่มีความมั่นใจเลย หลายครั้งผมต้องพึ่งหมอดูนะ อะไรที่มันเพิ่มความมั่นใจเราได้ เราทำไปก่อน ผมเป็นคาทอลิก แต่หิ้งพระที่ร้านผมมีทุกสำนัก ไทย จีน เทพ มันแสดงให้ถึงความไม่มั่นใจเลยจริงๆ

คนทำน่าจะธุรกิจเข้าใจดี

พอผมรู้จักบิทคอย เข้าใจปรัชญาของมัน สิ่งแรกที่ผมได้เลยคือความรู้สึก secure
ตอนแรกแค่รู้สึกสบายใจแปลกๆ แต่ไม่รู้จะพูดยังไง จนฟัง ALT TAB ของพี่ชิต ถึงได้เข้าใจมันจริงๆ

ความรู้สึกปลอดภัยมันเรื่องใหญ่มากนะ คุณทำเรื่องต่างๆด้วยความมั่นใจกับไม่มันใจ แอ๊คชั่นของคุณกับผลลัพธ์ที่ได้ต่างกันเลยนะ
ปรัชญาบิตคอยบอกผมว่าที่ผ่านมาผมทำบางอย่างถูก แม้ว่าจะเป็นด้วยความบังเอิญ หรือสถานการณ์บีบบังคับก็เถอะ มันรู้ว่าอะไรกันแน่ที่ส่งเรามาได้ขนาดนี้

ผมขยายสาขาโดยไม่ใช้เงินแบงค์ แล้วแต่ละที่เราก็กล้าลงทุนกับมัน เราไม่มีการทำการตลาดมากมาย เพราะเรารู้ว่าว่าเมื่อเราสร้างvalue เราจะได้valueกลับมา มีแต่มาช้ามาเร็ว ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องเร่งรีบ

ผมเข้าใจกลไกตลาดเสรี แม้ในภาพใหญ่มันจะยังไม่เกิดขึ้น แต่ในภาพเล็ก ผมยังเห็นมันทำงานได้ เข้าใจว่าทุกคนทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เริ่มพยายามสร้างอินเซนทีฟในทุกระดับชั้นขององค์กร เน้นให้รางวัลไม่ใช้ทำโทษ
มันกลายเป็นองค์กรที่พนักงานรักกันนะ ไม่100%หรอก แต่ส่วนใหญ่ใช่ เพราะแต่ละคนมีผลประโยชน์ร่วมกัน และมันส่งเสริมยอดขายร้าน

ผมสามารถทำตัวเป็นลูกพี่ใจดี เดินยิ้มไปยิ้มมา ไม่ตัองคอยมานั่งจับผิดว่าใครทำอะไรไม่ถูกต้อง เพราะกลไกมันจัดการของมันเองอยู่แล้ว ตัดปัญหาเรื่องคนไปได้ส่วนใหญ่ๆเลย ซึ่งคนเป็นผู้ประกอบการจะรู้ดีว่าเรื่องคนแทบจะเป็นปัญหาหลักของธุรกิจเลย

ค่าใช้จ่ายมันสูง กำไรมันน้อยนะ การสร้างองค์กรแบบนี้ คุณต้องหวังยั่งยืนเท่านั้น และช่วงแรกก็จะไปได้ช้ามากกกกก

ถ้าผมไม่เข้าใจปรัชญาของบิทคอย ไม่นานผมคงต้องใช้เงินแบงค์ ขายเฟรนด์ชาย ทำขนมราคาส่ง ให้คนอื่นมาวางฝากขาย หรือแม้แต่ขายสูตร(ราคาของPOWของแม่กับพ่อที่แลกไปมันควรเป็นเท่าไรว้า)
CPเคยขวนเราเข้าไปคุย ปั๊มน้ำมัน(ไม่ใช่เบอร์ใหญ่นะ)มาชวนเป็นพาร์ทเนอร์
มันมีอีกหลายอย่างที่เราทำได้แล้วได้เงินเข้ามาทันที แต่เราไม่ทำ

ผมมีพนักงานประมาณ70กว่าคน ถ้าผมไม่เข้าใจทฤษฎีเกมส์ มันเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องตั้งกฎเกณฑ์ต่างๆมาควบคุมมากมาย แล้วไม่มีวันจบด้วย เลยเถิดไปถึงต้องหาคนมาช่วยคุมกฎ ซึ่งจะมีการเมืองภายในตามมาอย่างแน่นอน

ทุกวันผมขยายสาขาด้วยความคิดว่า พนักงานเราต้องเติบโต ไม่ใช่เพื่อความมั่นคงของครอบครัวผมเป็นหลักแบบเมื่อก่อน แต่เป็นเพียงแค่ผลพลอยได้แทน

เมื่อผมมีความรู้สึก secure แล้ว ผมสามารถทำอะไรที่อยากทำได้อีกเยอะ
ผมเพิ่งได้ซื้อกีตาร์ไฟฟ้าตัวแรกในชีวิตตอนอายุ40 นั่งเล่นทั้งวันทั้งคืน สะใจมาก
ได้เริ่มกลับมาเขียนรูป ได้เล่นบาส

ผมสามารถสนับสนุนลูกๆให้เค้าทำอย่างที่อยากทำโดยไม่ต้องสนใจเรื่องผลการเรียนในระบบเป็นหลัก ล่าสุดลูกสาวผมเปิดบูธดูไพ่ยิปซีในงานโรงเรียน(ย้อนแย้งมาก นางเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์แบบเต็บขั้นเลยนะ)

ผมสามารถให้ลูกชายเรียนโรงเรียนทางเลือก โดยเป้าหมายเพียงเพื่อคนหาตัวเองให้เจอ ไม่ต้องสนใจเรื่องวุฒิการศึกษาเลย

น้องชายผมแทบจะพ่อบ้านเต็มตัว มีเวลาให้ลูกสาวสองคนแบบแทบจะ100% ลูกนึกคนภาพของหลานๆผมที่จะโตขึ้นมาซิ

พี่สาวผมไม่ต้องมาห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายทางบ้าน สามารถทำงานที่เค้ารักได้อย่างเต็มที่ ทั้งที่ตอนแรกค่าใช้จ่ายในครอบครัวเราเกือบทั้งหมด เค้าเป็นคนรับผิดชอบ

แม่ผมที่ติสต์จัดสามารถอยากรังสรรค์ขนมอะไรเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ทุกวันนี้ลูกๆอยากเจอต้องนัดล่วงหน้า เพราะกิจกรรมคุณมัทนาเยอะเหลือเกิน 5555

ญาติๆผมที่เกษียณแล้วแต่ไม่มีอะไรทำรวมถึงค่าใช้จ่ายไม่พอก็วนเวียนเข้ามาช่วยงานที่ร้าน

ครอบครัวของพนักงานของเราอีกล่ะ
คนที่เราเคยเล่าเรื่องปรัชญาของบิทคอยให้ฟังอีกล่ะ

ทั้งหมดนี้แค่องคาพยพของผมคนเดียวนะ
มันไม่เกินเลยใช่มั้ยที่ผมจะบอกว่า

“บิทคอยเปลี่ยนชีวิตผมและครอบครัว”

นี่ยังไม่พูดถึงความรู้สึก secure มันทำงานกับเรายังไงในระดับฮอร์โมนนะ มันไปมีผลไปถึงสุขภาพซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตเลยล่ะ

แล้วก็ทั้งหมดนี้แค่มิติเรื่องความ secure อย่างเดียวด้วย
ไม่แปลกที่ถ้าจะทำคลิปให้ความรู้ ตอนละเกือบจะ2ชม. เป็นร้อยตอนก็เล่าไม่หมด

ขอบคุณคนที่ทุ่มเทอธิบายเรื่องนี้ให้เราฟัง

//ขออภัยที่เล่าทีไรก็ยาวแล้วก็ส่วนตัวทุกที แต่รู้สึกว่าคำถามนี้ของ ผมต้องตอบ แล้วต้องตอบให้เห็นภาพด้วย

หวังว่าคงจะมีใครได้ไอเดียจากเรื่องนี้บ้าง แม้จะคนเดียว แต่เชื่อว่าคงจะมี significant พอในระดับองคาพยพของเค้าครับ

ใช่อันนี้มั้ยครับ
Author Public Key
npub1jalt2rsvr9nhd7e84yp8pmzytxmcptp8u20tp5wnx4dcr8xf8resze0yfp